'จุดความร้อน' ไทยวานนี้ เชียงราย ยังนำ 206 จุด ส่วนพะเยาขึ้นนำ PM 2.5
"จุดความร้อน" ของไทยวานนี้ลดลงเหลือ 1,096 จุด ส่วนค่าฝุ่น PM 2.5 เช้าวันนี้ยังคงเกินค่ามาตรฐานกว่า 40 จังหวัด เชียงรายยังนำจุดความร้อน ส่วนพะเยาขึ้นนำ pm 2.5
เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2566 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เผยข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP) ของวันที่ 14 เมษายน 2566 ไทยพบ "จุดความร้อน" 1,096 จุด ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่างพม่ายังครองแชมป์อยู่ที่ 6,999 จุด, สปป.ลาว 2,618 จุด, เวียดนาม 98 จุด ,กัมพูชา 133 จุด และมาเลเซีย 45 จุด
ข้อมูลจากดาวเทียมระบุอีกว่า "จุดความร้อนในประเทศไทย" ยังคงพบในพื้นป่าอนุรักษ์มากที่สุด 497 จุด ตามด้วยป่าสงวนแห่งชาติ 384 จุด, พื้นที่เกษตร 118 จุด,พื้นที่เขต สปก. 56 จุด, พื้นที่ชุมชนอื่นๆ 38 จุด, , และพื้นที่ริมทางหลวง 3 จุด
จังหวัดที่พบ "จุดความร้อน" มากที่สุด 3 อันดับ คือ
- เชียงราย 206 จุด
- เชียงใหม่ 205 จุด
- น่าน 95 จุด
ในขณะที่ สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ยังคงเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่กว่า 40 จังหวัด กระจายกันไปตามภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพ ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวประชาชนควรสวมหน้ากากอนามัย และงดกิจกรรมภายนอกอาคารสถานที่เพื่อป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจที่จะตามมา ในขณะที่กรุงเทพมหานคร คุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลาง แต่เมื่อดูของแต่ละเขตพบว่า บางบอน บางขุนเทียน ภาษีเจริญ บางแค ทุ่งครุ บางกอกใหญ่ มีค่าคุณภาพอากาศเกินมาตรฐานระดับสีส้ม ที่เริ่มส่งผลต่อสุขภาพเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวังที่มักจะมากับเหตุการณ์ไฟป่าและ "จุดความร้อน" คือ PM 2.5 สถานการณ์จุดความร้อนจากประเทศเพื่อนบ้านอาจส่งผลให้เกิด PM 2.5 ได้ในพื้นที่บริเวณชายแดนเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากกระแสลมที่จะพัดผ่านเข้ามา ประกอบกับภูมิประเทศทางภาคเหนือของไทยมีลักษณะเป็นหุบเขาแอ่งกระทะ จึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับการพัดและการเคลื่อนตัวของกระแสลมในพื้นที่เป็นสำคัญ
ปัญหาไฟป่าหมอกควัน ส่งผลกระทบให้กับระบบต่างๆ ของประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยกำลังจะได้ใช้ระบบ THEOS-2 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง 1 ในภารกิจสำคัญของระบบนี้ คือการสำรวจ วิเคราะห์ และติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้น ได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที เพื่อการสนับสนุนข้อมูลสำคัญให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำข้อมูลไปใช้วางแผน ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดข้อมูลเฉพาะพื้นที่ท่านสามารถติดตามจากหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบโดยตรงได้ GISTDA ยังคงติดตามและรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้บริหารจัดการในพื้นที่
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://fire.gistda.or.th หรือ ติดตามข้อมูลจาก https://fire.gistda.or.th/dashboard.html และควรติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ผ่านแอปพลิเคชัน "#เช็คฝุ่น"