วิเคราะห์ประเด็น หยก - เตรียมพัฒน์ฯ เด็กถูก รร.ปฏิเสธ ควรแก้ปัญหาอย่างไรดี?
หมอเดว หรือ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี วิเคราะห์ประเด็นโซเชียล 'หยก' - โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กรณีเด็กที่ถูกโรงเรียนปฏิเสธ ชี้แนวทางการแก้ปัญหาที่ดี ควรแก้ปัญหาอย่างไร
(16 มิ.ย.2566) หมอเดว หรือ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ด้านเด็กและวัยรุ่น โพสต์เฟซบุ๊ก ประเด็นเด็กที่ถูกโรงเรียนปฏิเสธ กรณี 'หยก' เยาวชนวัย 15 ปี ที่ได้ไปปีนรั้วเข้าโรงเรียน ขณะที่ทาง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ก็ได้ออกแถลงการณ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยกเหตุผล 3 ข้อ ตามที่นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
แถลงการณ์จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
โดย กุมารแพทย์ด้านเด็กและวัยรุ่น ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นดังกล่าว ระบุว่า กรณีเด็กที่ถูกโรงเรียนปฏิเสธ
วินัยในการอยู่ร่วมกัน เป็นสิ่งจำเป็น การแก้ปัญหาที่ดีคือสันติวิธี ไม่ใช้อารมณ์ ให้เกียรติกันและกัน การเคารพและปฏิบัติตามกติกา ที่มีส่วนร่วมออกแบบมาด้วยกันนั้น ความเข้าใจจิตวิทยาพัฒนาการวัยรุ่น สำคัญกับการรับมือแก้ปัญหา
อำนาจนิยมของผู้ปกครองและผู้ใหญ่ ที่หลายครั้งเด็กๆหลายคนเจ็บปวดกับการใช้อำนาจนิยมของผู้ใหญ่ โดยที่ผู้ใหญ่ไม่เป็นต้นแบบที่ดี แต่บังคับเด็ก ออกระบบระเบียบ โดยขาดการรับฟังด้วยสติ เปิดใจ ฟัง
สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่ไม่รุกล้ำคนอื่น จึงเป็นเหตุให้ต้องกำหนดกติกาการอยู่ร่วมกัน ที่เราเรียกว่า วินัยในการอยู่ร่วมกัน นั่นเอง
ความสมดุล ของ การทำให้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และวินัยในการอยู่ร่วมเป็นไปได้ด้วยกันนั้น เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วม สังเกตุวิธิปฏิบัติได้ ดังนี้
กฎขององค์กร บังคับใช้กับทุกคนไม่มีข้อยกเว้น เช่น หากเรียกว่านี่เป็นกฎของโรงเรียน ก็แสดงว่า ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ที่อยู่ในองค์กรต้องปฏิบัติร่วมกันเหมือนๆกัน
กฎของบุคคล เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเฉพาะ เวลาออกแบบกฎกติกา ต้องสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เช่น กฎของนักเรียน ก็แสดงว่า ต้องดึงการมีส่วนร่วมจากเด็กทุกฝ่าย ไม่เพียงแต่สภานักเรียน แต่รวมทั้งกลุ่มเด็ก ที่อยู่ในรั้ว ไม่ได้เป็นสภานักเรียนแต่อาจจะเป็นเด็กหลังห้อง เด็กทุกกลุ่ม มาใช้หลักสุนทรียสนทนา (ด้วยหลักการ 5 ให้ และ 5 ไม่) เพื่อกำหนดกติการ่วมกัน และเคารพ และปฏิบัติร่วมกัน
ทั้งนี้ กฎกติกาที่ออกแบบต้องไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งชาติ และเป็นไปด้วยเจตนารมณ์ที่ใช้สติและความสันติสุขในการอยู่ร่วมกัน ก่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันแบบสร้างสรรค์ ไม่ทำลายล้าง หรือ ไม่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ใช้การพูดคุยดีๆ ตกลงกันดีๆมากกว่าการด่าทอ ที่หลุดอารมณ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- สรุปแฮชแท็ก #saveเตรียมพัฒน์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เกิดอะไรขึ้น
- หยก ถูกโรงเรียนไล่ออก? โซเชียลเสียงแตก #saveหยก สรุปข่าว ลำดับเหตุการณ์
อีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ จิตวิทยาพัฒนาการวัยรุ่น จากกราฟแท่ง ดำ แท่งขาว สะท้อนพฤติกรรม ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แท่งดำสะท้อนพฤติกรรมเสี่ยง ขณะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม ก๊วน ที่อยากเป็นที่สนใจ อยากดัง อยากเป็นเป้าสายตา
แท่งขาว สะท้อนพฤติกรรมที่ไม่มีความเสี่ยง เมื่ออยู่คนเดียว ไม่มีการสร้างภาพอยากดัง การยอมรับแบบผิดๆ การเป็นจุดสนใจใดๆ
เมื่อนำพฤติกรรมเสี่ยงมาวัด จะพบว่า เด็กวัยรุ่น 13-16 ปี ช่วงวัยรุ่นตอนกลาง ต่อปลายนั้น เมื่อเด็กอยู่ตัวคนเดียว จะใช้สติ ความคิด มาคุยและพฤติกรรมจะมีความเสี่ยงลดลง ในขณะที่ หากอยู่เป็นกลุ่ม ก๊วน แก๊งค์ พฤติกรรมเสี่ยงจะพุ่งสูงขึ้นมากๆ (แท่งสีดำ) ทั้งนี้อยู่ที่ทุนชีวิต (Braker ทุนชีวิต) ว่าจะแสดงออก ความเสี่ยงรุนแรงมาก เบา หนักต่างกันในแต่ละคน
ขณะที่พออายุมากขึ้น ประสบการณ์ที่หล่อหลอม ขึ้นกับ ทุนชีวิต และระบบนิเวศน์ ที่ดี จะช่วยหล่อหลอมให้ ใจเย็นลง และใช้สติ ใช้เหตุผล มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ดีขึ้น เรื่อยๆ จน ทำให้ แท่งดำ (พฤติกรรมเสี่ยง ในขณะที่อยู่ในกลุ่ม ก๊วน แก๊งค์) ลดระดับความเข้มข้นลง เรื่อยๆ
ย้ำว่า ขึ้นกับทุนชีวิตและระบบนิเวศน์ ที่ช่วยหล่อหลอม ทุนชีวิต หากอยู่ในระบบทุนชีวิตที่ย่ำแย่ แท่งดำ จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้น การสร้างทุนชีวิต จึงมีความหมายต่อเด็กทุกคน ระบบพี่เลี้ยงในชุมชน โดยใช้จิตวิทยาพลังบวก และกระบวนการทุนชีวิต ทั่วประเทศ คือ คำตอบ ในการสร้างพลังบวก (ไม่ใช่พร้อมบวก)
กรณีที่เกิดขึ้น หากกติกา นั้นเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมอย่างดีแล้ว จำต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ร่วมกันออกแบบนั้น โดยผู้ใหญ่ทุกคนต้องเข้าใจนะครับว่า กฎเกณฑ์นั้นร่างเพื่อทั้งโรงเรียนที่เรียกว่า กฎของโรงเรียน บังคับใช้แม้แต่ครูและผู้อำนวยการ ผู้บริหารด้วยกัน หรือว่า เป็นกฎเฉพาะนักเรียน
หากเฉพาะนักเรียน โปรด อย่าลืม ว่า เด็กๆคือ องค์ประกอบสำคัญการมีส่วนร่วมในการออกแบบนั้นๆด้วย บนการตกลงร่วมกันด้วยสติ เหตุผลมากกว่าความคึกคะนอง และ ยอมรับได้
สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน ทั้งๆที่ออกกติกาการอยู่ร่วมด้วยกันเองแท้ๆ ก็จำเป็นที่ต้องมีการพูดคุย รับฟัง เข้าใจ และตกลงร่วมกัน พร้อมกำหนดขั้นตอนหากไม่เคารพต่อกัน การตักเตือน
และถ้าถึงที่สุดจริงๆ ด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กนั้น ผู้ปกครองที่เด็กไว้วางใจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องจัดหาระบบการศึกษาที่เหมาะสมให้กับเด็กต่อไป (พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 2546 เด็กหมายถึงบุคคลที่อายุน้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์)
cr เฟซบุ๊ก บันทึกหมอเดว