เกาะติดพื้นที่เสี่ยงท่วม-แล้ง เตือนพื้นที่ชายขอบของประเทศ รับมือฝนตกหนัก
กอนช. ระดมทุกหน่วยงานจับตาสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ พบพื้นที่เสียงอุทกภัยในภาคเหนือ อิสาน และพื้นที่เสี่ยงแล้งทั่วประเทศ ย้ำทุกหน่วยเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนในทันที เตือนอย่าประมาทต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้าสองปี
วันนี้ (9 ส.ค.66) นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการประเมินสถานการณ์น้ำ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ถ.วิภาวดีรังสิต โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมทรัพยากรน้ำ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน กรมทรัพยากรธรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (มหาชน) หรือ สสน. เป็นต้น เข้าร่วมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณชายขอบประเทศ พื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกหลายพื้นที่ประสบสถานการณ์น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง แต่ปริมาณฝนในภาพรวมทั้งประเทศยังคงน้อยกว่าค่าปกติ 18% และจากการเก็บข้อมูลปริมาณฝนสะสม 7 วัน ( 2 – 8 ส.ค.66) พบปริมาณฝนสะสมสูงสุดที่ภาคเหนือ อ. ท่าสองยาง จ.ตาก นอกจากนี้มีรายงานพื้นที่ประสบอุทกภัย 6 จังหวัด ที่ภาคเหนือ จ.ตาก จ.น่าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อำนาจเจริญ
จ.นครพนม จ.อุดรธานี และ จ.อุบลราชธานี ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ได้มีการบูรณาการเข้าให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบเหตุแล้ว
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการคาดการณ์สภาพอากาศล่วงหน้า 7 วัน (11 – 17 ส.ค. 66) พบว่า จะเกิดร่องความกดอากาศต่ำเหนือประเทศไทยบริเวณประเทศจีนตอนใต้และเหนือประเทศเวียดนาม ส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยปริมาณน้ำฝนในช่วงสองวันนี้จะยังไม่มากนัก แต่จะหนักขึ้นในช่วงวันที่ 11 – 13 ส.ค. 66 นอกจากนี้ ยังได้มีการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย 7 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงใหม่ จ.ตาก จ.น่าน จ.จันทบุรี จ.ตราด จ.พังงา และ จ.ระนอง ซึ่ง กอนช. จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยจะมีการประกาศแจ้งเตือนในทันที และกำชับหน่วยงานให้เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยได้ขอให้ดำเนินการตาม 12 มาตรการรับมือฤดูฝนอย่างเคร่งครัด
“จากสถานการณ์ฝนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลดีในเรื่องช่วยเติมปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยภาพรวมทั้งประเทศมีปริมาณน้ำเติมอ่างสะสม 2,028 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ สูงสุดที่เขื่อนวชิราลงกรณ์ 789 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ 271 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนลำปาว 186 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนรัชชประภา 75 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนขุนด่านปราการชล 11 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 3 ล้าน ลบ.ม. ตามลำดับ ขณะที่สถานการณ์แหล่งน้ำทั่วประเทศ พบว่า ขณะนี้มีปริมาณน้ำทั้งประเทศ 42,720 ล้าน ลบ.ม. หรือ 52 % คิดเป็นปริมาณน้ำใช้การ 18,616 ล้าน ลบ.ม. หรือ 32 % ซึ่งยังสามารถรองรับปริมาณน้ำฝนได้อีกมาก โดยมีแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์หรือน้ำน้อย แบ่งเป็น ภาคเหนือ 6 แห่ง และภาคตะวันตก 1 แห่ง ” นายฐนโรจน์ กล่าว
นายฐนโรจน์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน กอนช.ยังเฝ้าติดตามสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งรวม 17 จังหวัด 43 อำเภอ โดย 5 อันดับแรกได้แก่ จ.นครราชสีมา จ.อุตรดิตถ์ จ.นครสวรรค์ จ.ชัยนาท และจ.อุทัยธานี ซึ่งเลขาธิการ สทนช.ได้สั่งการให้ สทนช.ภาค 1 – 4 ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์แล้งที่เกิดในช่วงฤดูฝนที่พบว่ามีหลายพื้นที่เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำและเสี่ยงเกิดภัยแล้ง เพื่อหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนชุมชน และประชาชนในพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้นและแผนระยะยาวให้เกิดความยั่งยืนควบคู่ ซึ่ง กอนช. ยังคงเน้นย้ำความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการเตรียมพร้อมรับการสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในอีก 1- 2 ปีข้างหน้า โดยการวางแผนบริหารจัดการน้ำ 2 ปี การรณรงค์ให้ประหยัดน้ำทุกภาคส่วน รวมถึงการส่งเสริมการปลูกข้าวรอบเดียวและปลูกพืชใช้น้ำน้อยให้มากขึ้น เพื่อสงวนปริมาณน้ำไว้ให้ได้มากที่สุด