ผู้สูงอายุเชียงใหม่ เห็นด้วยควรตรวจสอบความจนก่อนรับสิทธิ์เบี้ยคนชรา

วันนี้ (15 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พูดคุยสอบถามความเห็นผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่กำลังจะอายุ 60 ปี  เกี่ยวกับเกณฑ์ใหม่ของเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หลังจากที่ กระทรวงมหาดไทยปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใหม่ จากเดิมจ่ายแบบถ้วนหน้า เปลี่ยนเป็นต้องพิสูจน์ว่าต้องมีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพจริง ๆ ซึ่งจากการสอบถามพบว่า เห็นด้วยกับการที่จะมีการพิสูจน์ว่าผู้สูงอายุแต่ละคนมีรายได้ตามเกณฑ์จริง ๆหรือไม่ เพราะจะได้เป็นการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ไม่มีเงินและต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ แต่อย่างไรก็ตามก็ควรจะเพิ่มจำนวนเงินผู้สูงอายุที่ให้ในแต่ละเดือนด้วย เนื่องจากเงินละ 600 บาท ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย

 

หนึ่งในชาวเชียงใหม่ อายุ 54  ปี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เป็นเรื่องดีที่จะมีการพิสูจน์ว่าผู้สูงอายุคนใดควรได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ควรนำเงินมาช่วยเหลือคนที่ลำบากจริง ๆ เพราะตอนนี้ผู้สูงอายุมีจำนวนมาก ซึ่งในจำนวนนี้คนที่ลำบากและมีรายได้ไม่เพียงพอก็มีอยู่จำนวนมากเช่นกัน ดังนั้นภาครัฐก็ควรจะตรวจสอบให้แม่นยำและชัดเจน

นางวิลัยวรรณ แม่ค้าขายดอกไม้ในตลาดประตูก้อม จังหวัดเชียงใหม่ อายุ 60 ปี เล่าว่า ตนได้รับเบี้ยผู้สูงอายุมาประมาณ 1 ปี ซึ่งตนก็เห็นด้วยกับการที่จะมีการตรวจสอบรายได้ของผู้สูงอายุที่กำลังจะอายุ 60 ปี เพราะจะได้เป็นการช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจริง ๆ แต่อย่างไรก็ตามตนมองว่า เดือนละ 600 บาท ไม่เพียงพอ หากผู้สูงอายุไม่ทำงานเพิ่มก็คงไม่พอที่จะซื้อข้าวกิน หรือ ใช้จ่ายในแต่ละวัน เนื่องจากตอนนี้ค้าขายลำบาก เศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้นเบี้ยผู้สูงอายุก็จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยคนชราที่มีความลำบากได้

 

ขณะที่ นายวัช อยู่นาก  63 ปี ชาวเชียงใหม่ เปิดเผย เรื่องนี้ต้องมอง 2 มุม มุมแรกคือ การช่วยเหลือคนที่มีรายได้น้อยเป็นสิ่งที่ดีและควรทำ เพราะเศรษฐกิจแย่มาก แต่อีกมุมก็คือ เบี้ยผู้สูงอายุเป็นรัฐสวัสดิการที่ทุกคนควรจะได้รับ และอีกอย่าง เบี้ยคนชราก็เป็นสิ่งที่ทุกคนที่อายุ 60 ปีได้รับ การอยู่ ๆมาเปลี่ยนอาจจะเป็นการเลือกปฎิบัติหรือไม่ แต่ตนก็มองอีกว่า คนที่มีเงินอยู่แล้ว รวยอยู่แล้ว ก็ควรจะยินยอมให้นำเงินที่ได้รับไปช่วยคนที่ไม่มีรายได้น้อยและลำบาก ตนอยากจะเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ไม่ว่าใครจะได้เป็นเข้ามาดูใจพี่น้องประชาชนอย่างเร็วที่สุด