ประวัติ 'เศรษฐา ทวีสิน' นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
ประวัติ 'เศรษฐา ทวีสิน' พรรคเพื่อไทย หลังผลโหวตผ่านฉลุย ได้ 482 เสียงลงมติสนับสนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
"เศรษฐา ทวีสิน" ผ่านฉลุย! ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย หลังจากวันที่ (22 ส.ค.66) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นการ โหวตนายกฯ รอบ 3
ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ปรากฎว่า เสียงการลงมติสนับสนุนนายเศรษฐามีทั้งสิ้น 482 เสียง โหวตให้นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย
ทั้งนี้ ในวันนี้ ยังเป็นวันเดียวกับที่ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี บินกลับมาประเทศไทยอีกด้วย
- ประวัติ เศรษฐา ทวีสิน
สำหรับ 'ประวัติ เศรษฐา ทวีสิน' นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เกิดเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 มีชื่อเล่น 'นิด' ปัจจุบันอายุ 61 ปี เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองชาวไทย เป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยในปี พ.ศ. 2566 ของพรรคเพื่อไทย อดีตประธานอำนวยการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแสนสิริขึ้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศไทย
นายเศรษฐาเข้าร่วมงานทางการเมืองในนามพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 โดยนายเศรษฐาให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก เน้นย้ำเรื่องปากท้องของประชาชน ความเหลื่อมล้ำของสังคม และการให้ความสำคัญกับความเสมอภาค ความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพในการเลือก และมักประกาศว่าภารกิจสำคัญหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอุปสรรคให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างยากลำบาก
โดยผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ปรากฏว่า 'พรรคเพื่อไทย' ได้เป็นพรรคอันดับ 2 รองจาก 'พรรคก้าวไกล' สิทธิในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจึงอยู่กับพรรคก้าวไกล
อย่างไรก็ตาม ในการโหวตนายกรัฐมนตรีที่เป็นแคนดิเดตจากพรรคก้าวไกล คือ 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2556 ได้คะแนนเสียง 324 เสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8 พรรค ขาดอีก 52 เสียง ซึ่งไม่เป็นผลสำเร็จ และไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว. อย่างเพียงพอ พรรคก้าวไกลจึงมอบสิทธิ์ให้ 'พรรคเพื่อไทย' เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีมติเสนอชื่อ 'เศรษฐา ทวีสิน' เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย และจะมีการโหวตในวันที่ (22 ส.ค.66)
ที่ผ่านมาก่อนที่นายเศรษฐาจะเข้าสู่สนามการเมือง เคยเป็นผู้สังเกตการณ์ที่เฉียบคมเกี่ยวกับวาระทางสังคมของประเทศ ตั้งแต่สมัยเป็นผู้บริหารแสนสิริ และได้มอบหมายแนวคิดในการสร้างกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแรงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศชาติในหลายๆ ด้าน เช่น การผลักดันการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การสนับสนุนความเท่าเทียมและความหลากหลาย รวมถึงโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน และกีฬา
- การศึกษา
ในระดับประถม นายเศรษฐาศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร จากนั้นไปศึกษาต่อที่สหรัฐในระดับไฮสกูล และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแมสสาชูเซ็ตส์ (University of Massachusetts) ปริญญาโทในสาขาบริหารธุรกิจด้านการเงินจาก บัณฑิตวิทยาลัยแคลมอนต์ (Claremont Graduate School) ของสหรัฐ
- ด้านการทำงาน
หลังเรียนจบในปี พ.ศ. 2529 เศรษฐากลับมาทำงานที่ประเทศไทยในบริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (Procter & Gamble) บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว (FMCG) ในเวลานั้น P&G เพิ่งย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเขาเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดคนแรก เมื่อทำงานไปได้ประมาณ 3 ปี P&G เสนอให้เขาทำงานในต่างประเทศ โดยระบุว่าเป็นหนทางเดียวที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุดในเส้นทางอาชีพ ด้านเศรษฐาที่เพิ่งกลับจากการใช้ชีวิตในต่างประเทศได้ไม่นาน ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตในเมืองไทยกับครอบครัวจึงตัดสินใจปฏิเสธโอกาสการทำงานดังกล่าว ก่อนที่จะไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับอภิชาติ จูตระกูล ผู้เป็นญาติ ในชื่อ บริษัท แสนสำราญ จำกัด (ชื่อเดิมของแสนสิริ) ในปี พ.ศ. 2533
บริษัท แสนสำราญ จำกัด ได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการแรก คือ โครงการบ้านไข่มุก ซึ่งเป็นอาคารชุดริมหาดหัวหิน มีมูลค่าต้นทุนสร้าง ประมาณ 250 ล้านบาท และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของลูกค้าในตลาดระดับสูง ซึ่งโครงการบ้านไข่มุก เป็นคอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่ติดชายหาดระดับตำนาน ห้องขนาด 242 ตารางเมตร ซึ่งครั้งเปิดตัวมีราคาขาย 7 ล้านบาทต่อยูนิต
บริษัท แสนสิริ ภายใต้การนำของเศรษฐา ได้เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในปี พ.ศ. 2538 โดย 2 ปีถัดมาประเทศไทยรวมถึงบริษัทแสนสิริ ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งรุนแรงอย่าง 'ต้มยำกุ้ง' มีการปลดพนักงาน ขายสินทรัพย์เพื่อให้มีทุนหมุนเวียน และท้ายที่สุดก็นำองค์กรผ่านมรสุมธุรกิจและกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่ง
ในวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งถัดมาอย่าง 'แฮมเบอร์เกอร์' ปี พ.ศ. 2550 และการแพร่ระบาดของโควิด-19 'แสนสิริ' สามารถรับมือกับปัญหาได้อย่างค่อนข้างรวดเร็ว มีกระแสเงินสดที่ดี และกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ถือว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงจนถึงปัจจุบัน เป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้า และเป็นอันดับ 1 ที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานมากที่สุด
'แสนสิริ' ในการนำของ 'เศรษฐา' ให้ความสำคัญอย่างมากกับ '4 เสา' ที่เป็นตัวค้ำบัลลังก์ให้แสนสิริมั่นคง ประกอบด้วย ผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า และสังคม หน้าที่หลักของผู้บริหาร คือการสร้างความสมดุลและการให้ความสำคัญกับการใส่ใจและส่งมอบคุณค่ากลับคืนให้กับทั้งสี่เสาเหล่านี้ คือ ตอบแทนผู้ถือหุ้นด้วยผลกำไรที่ดี ตอบแทนพนักงานด้วยค่าจ้าง สวัสดิการ และสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ตอบแทนลูกค้าด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ และตอบแทนสังคมด้วยการส่งมอบโอกาสในด้านต่างๆ ให้ผู้คน
เศรษฐาสร้างแรงจูงใจให้พนักงานโดยมีเงินเดือนและมีสวัสดิการต่างๆ ที่แข่งขันได้กับธุรกิจเดียวกันในตลาด นอกจากนี้เศรษฐายังพัฒนา SIRI CAMPUS ออฟฟิศที่ออกแบบโดยเอื้อต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีสภาพแวดล้อมที่ดี และเอื้อต่อการทำงานร่วมกันอย่างเสมอภาค เท่าเทียมไม่มีลำดับชั้น ทั้งนี้เศรษฐามักจะนั่งทำงานใน Co-Working Space โดยไม่มีที่นั่งประจำ เพื่อให้พนักงานสามารถแวะเวียนเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาและหาทางออกร่วมกัน เศรษฐาเชื่อว่าการพบเจอกันและเข้าถึงได้ง่ายจะทำให้พนักงานกระตือรือร้น และเมื่อต้องมีการตัดสินใจใดๆ จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากตำแหน่งหน้าที่ใน บริษัทแสนสิริ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปี พ.ศ. 2566 เศรษฐาดำรงตำแหน่งกรรมการในกว่า 30 บริษัท เช่น บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)) , บริษัท สิริพัฒน์ ทเวลฟ์ จำกัด , บริษัท สิริพัฒน์ อีเลฟเว่น จำกัด , บริษัท สิริพัฒน์ เท็น จำกัด , บริษัท สิริพัฒน์ ไนน์ จำกัด เป็นต้น
ในวันที่ 8 มีนาคม 2566 เศรษฐาได้ทำรายการโอนหุ้นของ SIRI จำนวน 661 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 4.44% ที่ถืออยู่ทั้งหมดให้กับ น.ส.ชนัญดา ทวีสิน บุตรคนเล็ก ส่งผลให้เขาไม่ได้ถือหุ้น SIRI อีกต่อไป จากที่ก่อนการทำรายการเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของ SIRI และได้ขอลาออกจากตำแหน่ง ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ รวมทั้งทุกตำแหน่งในฐานะกรรมการบริษัท และกรรมการชุดย่อยของบริษัท ได้แก่ ประธานกรรมการบริหาร รองประธานกรรมการลงทุน และกรรมการบรรษัทภิบาทและความยั่งยืน โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป ถือเป็นการเปิดฉากการเข้าสู่การเมืองอย่างเป็นทางการ
- ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว
'เศรษฐา ทวีสิน' เป็นบุตรคนเดียวของ ร้อยเอก อำนวย ทวีสิน กับ ชดช้อย ทวีสิน (สกุลเดิม จูตระกูล) บิดาของเศรษฐาเสียชีวิตตั้งแต่เศรษฐาอายุเพียง 3 ปี เศรษฐานับว่าเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ 'ตระกูลทวีสิน' เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีความเกี่ยวข้องกับสายเครือญาติ 5 ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย อันได้แก่ ตระกูลยิบอินซอย , จักกะพาก , จูตระกูล , ล่ำซำ และ บูรณศิริ
ในปี 2532 เศรษฐาสมรสกับ พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน หรือ หมออ้อม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญความงามด้านผิวพรรณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีบุตรธิดา 3 คน ได้แก่ นายณณภัทร ทวีสิน (น้อบ) , นายวรัตม์ ทวีสิน (แน้บ) , นางสาวชนัญดา ทวีสิน (นุ้บ)
ทั้งนี้ นายเศรษฐา เคยกล่าวว่า เขาไม่ได้มีความฝันที่จะก้าวเข้าสู่การเมืองมาก่อน แต่สิ่งที่เริ่มจุดประกายให้เขาสนใจการเมืองมากขึ้นคือนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเห็นว่าการยึดอำนาจเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและรับไม่ได้ บวกกับปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วง 8-9 ปีหลังมานี้ รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สะท้อนให้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เสมอภาค ความไม่เท่าเทียมเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย
เมื่อเห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความเสมอภาค มีความเท่าเทียม และมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกได้ ตนจึงตัดสินใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่าเพื่อไทยยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง
เดือนพฤศจิกายน 2565 นายเศรษฐาสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวเพื่อไทย และในเดือนมีนาคม 2566 นั่งตำแหน่งประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยให้กับ แพทองธาร ชินวัตร และในเดือนเมษายน 2566 พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อเศรษฐาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับอีกสองท่านคือ แพทองธาร ชินวัตร และ ชัยเกษม นิติสิริ
เศรษฐาพูดเสมอว่า 'ผมไม่ได้อยากเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะอยากมีตำแหน่งว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง'