ไทย เรียกร้อง โลก ลงทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามากขึ้น รองรับโรคระบาด
"ปานปรีย์" รมว.ต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลงประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องการป้องกัน การเตรียมความพร้อม และการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ เรียกร้องให้โลกลงทุนมากขึ้นเพื่อส่งเสริมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อป้องกัน เตรียมพร้อม และตอบสนองต่อโรคระบาด
วันนี้ (21 ก.ย. 66) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องการป้องกัน การเตรียมความพร้อม และการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ (PPPR) ในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 โดยมี นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นพ.นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้เข้าร่วมประชุมด้วย
ทั้งนี้ นายปานปรีย์ ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงเรียกร้องให้โลกลงทุนมากขึ้นเพื่อส่งเสริมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เร่งเจรจาจัดทำตราสารระหว่างประเทศในประเด็นดังกล่าวภายใต้องค์การอนามัยโลก และพัฒนาความร่วมมือด้านการป้องกัน เตรียมพร้อม และตอบสนองโรคระบาดอย่างสร้างสรรค์และมีสำนึกต่อส่วนรวม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ประเทศไทยมีความเห็นสอดคล้องกับแถลงการณ์ของอาเซียนที่เวียดนามส่งมา และเน้นย้ำว่าโรคโควิด-19 ไม่เพียงแต่เป็นวิกฤตด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นความท้าทายหลายมิติที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคม แม้ว่าจะไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพระดับโลกอีกต่อไป แต่ยังคงมีความสำคัญสูงสุดสำหรับประเทศไทย ในการป้องกัน การเตรียมความพร้อม และการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ (PPPR )ประเทศไทยได้กำหนดลำดับความสำคัญที่สำคัญหลายประการ:
1.หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC): ไทยสนับสนุนให้เพิ่มการลงทุนในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งในช่วงเวลาปกติและภาวะฉุกเฉิน หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นเครื่องรับประกันว่าระบบสุขภาพจะให้ความคุ้มครองทางสังคม ส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม และรักษาความเสมอภาคด้านสุขภาพ
2.การเสริมสร้างการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล: ประเทศเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาโดยการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของระบบการดูแลสุขภาพ
3.สนธิสัญญาโรคระบาดและกฎอนามัยระหว่างประเทศ: ประเทศไทยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับรองข้อตกลงที่เข้าถึงได้และเป็นข้อสรุปสำหรับการป้องกันการระบาดใหญ่ผ่านการสร้างสนธิสัญญาการระบาดใหญ่และการแก้ไขกฎอนามัยระหว่างประเทศภายใต้องค์การอนามัยโลก (WHO)
4.ความมั่นคงและการพัฒนาด้านสุขภาพโลก: ประเทศไทยตระหนักดีว่าการพัฒนาเป็นส่วนสำคัญต่อความมั่นคงด้านสุขภาพโลก และเรียกร้องให้มีกระบวนทัศน์ใหม่ของความร่วมมือหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการจัดหาเงินทุนด้านสุขภาพด้านนวัตกรรมทั้งในระดับในประเทศและต่างประเทศ
5.การเข้าถึงเทคโนโลยี: ประเทศไทยกล่าวถึงการมีส่วนร่วมในการเข้าถึงเทคโนโลยีเกี่ยวกับโรคโควิด-19 โดยได้รับใบอนุญาตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ฉบับแรกจากบริษัทยาเอกชน ความพยายามนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและเป็นหุ้นส่วนที่เป็นแบบอย่าง
ตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ระบุว่า ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริงนั้นสร้างขึ้นจากประชากรที่มีสุขภาพดี ประเทศไทยเรียกร้องให้มีความพยายามร่วมกันในการปรับปรุงการเตรียมพร้อมของโลกสำหรับการระบาดใหญ่ในอนาคต และเน้นย้ำถึงความสำคัญของความมุ่งมั่นที่เข้มแข็ง ความสามัคคี ความร่วมมือ และความร่วมมือเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ในโอกาสนี้ ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาทางการเมืองว่าด้วยเรื่องการป้องกัน การเตรียมความพร้อม และการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ (Pandemic Prevention, Preparedness and Response: PPPR) ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับความร่วมมือในการเสริมสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ
ทั้งนี้จากข้อมติสหประชาชาติ UNGA 76/301 และ 77/275 ได้กำหนดให้มีการจัดการประชุมระดับสูงว่าด้วยเรื่องการป้องกัน การเตรียมความพร้อม และการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ (HLM on PPPR) ในวันที่ 20 กันยายน 2566 ในห้วงการประชุม UNGA78 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานสมัชชาสหประชาชาติได้แต่งตั้งราชอาณาจักรโมร็อกโกและรัฐอิสราเอล ทำหน้าที่ผู้ประสานงานร่วม (co-facilitators) เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการเตรียมการการประชุมฯ และจัดทำร่างปฏิญญาทางการเมือง ซึ่งจะเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม HLM on PPPR การเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวของประเทศไทยจะเป็นการส่งเสริมบทบาทนำในการร่วมกำหนดทิศทางนโยบายระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องการป้องกัน การเตรียมความพร้อม และการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด