หมูเถื่อน "สารเร่งเนื้อแดง" อีกภารกิจรัฐที่ไม่ควรมองข้าม
หมูเถื่อน กำลังเป็นประเด็น Talk of The Town ที่โยงใยไปกระทบกับแทบทุกวงการ ทั้งข้าราชการ นักการเมือง นักธุรกิจ ฯลฯ
ไม่ใช่เพียงกระทบเกษตรกรที่ทำให้ขายหมูไม่ได้และแบกภาระขาดทุนสะสมมายาวนาน แต่ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครก็คือผลกระทบต่อ “ผู้บริโภค” หรือประชาชนคนไทยที่นั่งอยู่ท่ามกลางขบวนการหมูเถื่อน
จากข้อมูลที่ระบุว่าตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา มีการลักลอบนำหมูเถื่อนเข้ามาแล้วกว่า 2,385 ตู้คอนเทนเนอร์ ขณะที่จับลอตใหญ่สุดได้เพียง 161 ตู้จากท่าเรือแหลมฉบัง นั่นหมายความว่าจนถึงปัจจุบันหมูเถื่อนเหล่านั้นได้ถูกขายให้คนไทยไปแล้วเป็นส่วนใหญ่
แม้จะยืนยันไม่ได้ว่าที่ยังเหลือและซุกซ่อนอยู่ตามห้องเย็นมีอยู่ในปริมาณเท่าใด แต่ก็พอจะประเมินได้ว่าหมูเหล่านั้นถูกแช่แข็งมายาวนาน 1-2 ปี เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะหมดอายุ ขึ้นรา หรือสิ้นสภาพการเป็นเนื้อหมูที่สามารถนำมารับประทาน
นอกจากหมูเถื่อนจะเป็นหมูที่ลักลอบนำเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และเลี่ยงภาษีศุลกากรแล้ว เนื้อหมูเหล่านี้ไม่ผ่านการตรวจสอบโรคหรือสารปนเปื้อนใดๆ จากหน่วยงานราชการไทย จึงมีโอกาสสูงมากที่จะปนเปื้อนสารที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สารเร่งเนื้อแดง” จากประเทศต้นทางที่อนุญาตให้ใช้สารนี้ได้อย่างถูกกฎหมาย อาทิ ประเทศในแถบอเมริกาใต้
ทำอย่างไรจึงจะปกป้องผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากขบวนการหมูเถื่อนได้?
ในเชิงกฎหมาย สืบสวน สอบสวน จับกุม ที่กำลังดำเนินไป ทุกคนรอคอยที่จะเห็นโฉมหน้าผู้บงการรายใหญ่ ให้ได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย นับเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุหากสามารถถอนรากถอนโคนขบวนการนี้ได้จริง
ขณะที่ในมุมมองของคนกินหมูหรือผู้บริโภคแล้ว การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็จำเป็น เพราะลำพังมองดูด้วยตาเปล่า ไม่มีทางเลยที่ประชาชนจะสามารถแยกได้ว่าหมูแช่แข็งนั้นหมดสภาพ หรือมีสารเร่งเนื้อแดงปนเปื้อนหรือไม่
จะดีกว่าไหม ถ้าหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับสุขภาพประชาชน จะลงพื้นที่ตรวจสอบเนื้อหมูตามจุดจำหน่ายต่างๆ เพื่อร่วมกันสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค ว่าจะได้รับประทานเนื้อหมูของเกษตรกรไทยที่ปลอดภัย ไร้กังวล
นอกเหนือไปจากการรณรงค์แนะนำให้เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือให้สังเกตแหล่งจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ที่มีการสื่อสารออกมาเป็นประจำอยู่แล้ว
ทำไมต้องกังวลกับสารเร่งเนื้อแดง สารเร่งเนื้อแดงเป็นสารในกลุ่มเบตาอะโกนิสต์ มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจ ขยายหลอดลม สลายไขมัน เพิ่มระดับกลูโคสในเส้นเลือด เป็นตัวยาสำคัญที่ใช้ในยาบรรเทาโรคหอบหืดของมนุษย์
หากนำมาผสมในอาหารหรือน้ำให้หมูกิน จะมีผลให้สัตว์หัวใจเต้นเร็วขึ้น ทนต่อความร้อนได้น้อยลง และเกิดภาวะเครียดจากความร้อน (heat stress) หมูจะมีอาการสั่นอยู่ตลอดเวลา ลักษณะมัดกล้ามนูนเด่นกว่าปกติ ทำให้ซากหมูมีเนื้อแดงมาก ไขมันน้อย ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ส่งผลให้ขายได้ราคาดี
แต่ถ้าผู้บริโภครับประทานหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างอยู่ จะทำให้มีผลต่อการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อหลอดเลือด หลอดลม กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
เป็นอันตรายมากสำหรับหญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ นี่จึงเป็นที่มาให้ประเทศไทยและอีกหลายประเทศ ห้ามใช้สารกลุ่มนี้ในการผลิตอาหารสัตว์โดยเด็ดขาด
ผู้เขียนก็เป็นผู้บริโภคคนหนึ่ง จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งหากภาครัฐจะลงพื้นที่ตรวจสารเร่งเนื้อแดงในจุดจำหน่ายต่างๆ ทั้งแผงหมูในตลาดสด ร้านขายหมูติดแอร์ หรือแม้แต่ซูเปอร์มาร์เก็ต
ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคในการบริโภคเนื้อหมู ตลอดจนเพื่อสุขอนามัยที่ดีของประชาชนคนไทย ลดโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว ไม่ให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการรักษาอาการเจ็บป่วยของประชาชนที่จะตามมาในอนาคต
คอลัมน์: บทความพิเศษ
ผู้เขียน:
น.สพ.ดุสิต เลาหสินณรงค์, น.สพ.กัมพล แก้วเกษ
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล