จับ 'ชัยวัฒน์' อดีตที่ปรึกษาแม่แตงโม ตุ๋น 20 ล้าน แลกฝากเข้าเป็น สส.เพื่อไทย
จับ 'ชัยวัฒน์' อดีตที่ปรึกษาแม่แตงโม ขับบีเอ็มสวมทะเบียน ก่อนพบมีคดีฉ้อโกง ตุ๋นเงินเหยื่อ 20 ล้าน อ้างชื่อ อุ๊งอิ๊ง แลกฝากเข้าเป็น สส.เพื่อไทย
จากกรณีตำรวจทางหลวงได้จับกุมตัว นายชัยวัฒน์ อายุ 55 ปี อดีตที่ปรึกษากฎหมายแม่แตงโม ในหมายจับคดีฉ้อโกง หลอกวิ่งเต้นฝากเข้าทำงานเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย
โดยวันนี้ (1 มี.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล. สั่งการให้ พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง.ผบก.ป ช่วยราชการ รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.เอกนิรุจฒิ์ วันสิริภักดิ์ ผกก.1 บก.ทล., พ.ต.ท.ปภินวิทย์ อุดมพร สว.ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล. จับกุมตัว นายชัยวัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี ตามหมายจับศาลแขวงปทุมวัน ลงวันที่ 13 พ.ย.66 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, หมิ่นประมาท โดยจับกุมตัวได้ที่บริเวณริมถนนสายเอเชีย กม.2-3 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
สืบเนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีรถยนต์เก๋งยี่ห้อ BMW สีดำ ต้องสงสัยสวมทะเบียน ขับผ่านมาบนถนนสายเอเชีย จึงจัดกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเมื่อพบรถคันดังกล่าวจึงเรียกตรวจสอบ และพบว่านายชัยวัฒน์เป็นผู้ขับขี่ ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบเลขตัวถังรถกับข้อมูลในระบบขนส่ง พบว่าเป็นรถที่สวมหรือติดแผ่นป้ายทะเบียนไม่ตรงตามที่แจ้ง จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำส่ง สภ.พระอินทร์ราชา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
แต่ด้วยความที่พฤติกรรมของนายชัยวัฒน์ ที่มีการนำแผ่นป้ายทะเบียนรถคันอื่นมาสวม คล้ายกับปิดบังอำพรางตัวตน ดูต้องสงสัย จึงทำการตรวจสอบประวัติของนายชัยวัฒน์ ก่อนพบว่ามีหมายจับศาลแขวงปทุมวัน ในคดีร่วมกับพวกรวม 3 คน หลอกเงินผู้เสียหายกว่า 20 ล้านบาท โดยอ้างว่าสามารถพาเข้าไปทำงานเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยได้
โดยแผนประทุษกรรมในคดีดังกล่าวเริ่มจาก ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ทำทีตีสนิทอดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย ว่ามีตำแหน่ง สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 20 ของพรรคเพื่อไทย ว่างอยู่ แต่ต้องเสียค่าสมัครเป็นเงิน 40 ล้านบาท อีกทั้งกลุ่มผู้ต้องหายังแอบอ้างชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้วย จนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและไปลาออกจาก สส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย เพื่อมาสมัครเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ตามที่มีการกล่าวอ้าง
จากนั้นก็ได้นัดหมายเจรจาและจ่ายเงินค่าสมัครที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยจ่ายเงินสดงวดแรกให้ก่อนจำนวน 20 ล้านบาทแก่กลุ่มผู้ต้องหา ก่อนที่กลุ่มผู้ต้องหาจะพาไปถ่ายรูปและสมัครเป็น สส.บัญชีรายชื่อ ที่พรรคเพื่อไทย และพากลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง แล้วพยายามพูดคุยให้จ่ายเงินส่วนที่เหลืออีก 20 ล้านบาท แต่ผู้เสียหายขอไปจ่ายให้กับ น.ส.แพทองธาร ที่พรรคเพื่อไทยด้วยตัวเอง แต่เมื่อไม่ได้พบ น.ส.แพทองธาร จึงไม่มีการจ่ายเงินส่วนที่เหลืออีก 20 ล้านบาท กระทั่งเมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศรายชื่อ สส.บัญชีรายชื่อ ปรากฏว่าไม่มีชื่อของผู้เสียหายแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง และเข้าแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สน.ลุมพินี
ต่อมาเมื่อ น.ส.แพทองธาร ทราบเรื่องว่ามีการแอบอ้างชื่อเพื่อไปหลอกเงิน จึงตัดสินใจมาเข้าแจ้งความเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้ง 3 รายเพิ่มอีกคดี จนมีการออกหมายจับ กระทั่งตำรวจทางหลวงสามารถจับกุมนายชัยวัฒน์ที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนีได้ดังกล่าว
จากการสอบนายชัยวัฒน์ ให้การปฏิเสธ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ จึงนำตัวส่ง สน.ลุมพินี ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
ประวัติ 'ชัยวัฒน์ โลมากุล' อดีตที่ปรึกษากฎหมาย แม่แตงโม หลังตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ
ชัยวัฒน์ โลมากุล เริ่มเป็นที่รู้จักหลังเข้ามามีบทบาทเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับ นางพนิดา ศิริยุทธโยธิน แม่แตงโม ในการต่อสู้คดีการเสียชีวิตของลูกสาว หลังจากที่คุณแม่ได้มีการเปลี่ยนทีมกฎหมายไปแล้วหลายชุดนับตั้งแต่เกิดเหตุกับแตงโม
กระทั่งภายหลัง นายชัยวัฒน์ได้แตกหักกับนางพนิดา แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ในเรื่องคดีการเสียชีวิตของแตงโมเหมือนทีมกฎหมายชุดก่อนหน้า แต่เป็นเรื่องของเงินนั่นเอง ซึ่งปมร้าวเรื่องเงินระหว่างนายชัยวัฒน์กับนางพนิดาได้ถูกนำมาเปิดเผยภายหลังคดีแตงโมคลี่คลายไปแล้ว เมื่อจู่ๆ นางพนิดาได้เข้าขอความช่วยเหลือจาก ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอดีตทนายความคดีการเสียชีวิตของแตงโม หลังสงสัยว่ากำลังถูกนายชัยวัฒน์ยักยอกเงินของตนไป ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับจาก ปอ และ โรเบิร์ต จำเลยในคดีการเสียชีวิตของแตงโม
ด้าน นายชัยวัฒน์ ก็ได้ออกมาชี้แจงปมแตกหักกับนางพนิดาว่า ต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดมาจากความโกรธเคืองที่ตนไปตักเตือนคุณแม่เรื่องชู้สาว กรณีการคบหากับบอดี้การ์ด ชื่อ ช. ก่อนที่ประเด็นการแฉเรื่องชู้สาวจะเงียบไป เนื่องจากนางพนิดาไม่ได้เดินทางไปแจ้งความเอาผิดเพราะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนคดีในข้อหาฉ้อโกง (ยักยอกทรัพย์) ยังอยู่ในชั้นศาล กระทั่งนายชัยวัฒน์มาเป็นข่าวดังถูกจับในคดีฉ้อโกงวันนี้