ความผิดเกี่ยวกับ "บัตรอิเล็กทรอนิกส์" | สกล หาญสุทธิวารินทร์

ความผิดเกี่ยวกับ "บัตรอิเล็กทรอนิกส์" | สกล หาญสุทธิวารินทร์

เมื่อปี 2547 มีการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญา โดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่17) พ.ศ.2547 เพิ่มเติมหมวด 4 ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 269/1 ถึงมาตรา 269/7

มีเหตุผลโดยสรุปคือ เนื่องจากมีความนิยมใช้งานบัตรอิเล็กทรอนิกส์กันอย่างแพร่หลาย และปรากฏว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับบัตรและลักลอบนำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นมาใช้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภคในวงกว้าง

สมควรกำหนดความผิดอาญาสำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับบัตรและข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมการกระทำความผิดในรูปแบบต่างๆ และให้มีอัตราโทษเหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทำความผิด

ความหมายของ “บัตรอิเล็กทรอนิกส์”

(ก) เอกสารหรือวัตถุอื่นใดไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใด ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ ซึ่งจะระบุชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน

ซึ่งรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางแสงหรือวิธีการทางแม่เหล็กให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข รหัส หมายเลขบัตร หรือสัญลักษณ์อื่นใด ทั้งที่สามารถมองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

(ข) ข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชี หมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องมือทางตัวเลขใดๆ ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ โดยมิได้มีการออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดให้ แต่มีวิธีการใช้ในทํานองเดียวกับ (ก) หรือ

(ค) สิ่งอื่นใดที่ใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของ

บทบัญญัติที่กำหนดความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยสรุปคือ

- มาตรา 269/1 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม หรือเติม ตัดทอนข้อความหรือแก้ไขบัตรจริง

- มาตรา 269/2 เป็นความผิดในการทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงบัตร

- มาตรา 269/3 เป็นความผิดในการนำเข้าส่งออกสิ่งใดฯตามมาตรา 269/1 และ 269/2

- มาตรา 269/4 เป็นความผิดใช้หรือมีไว้เพื่อใช้สิ่งใดฯตามมาตรา 269/1 และจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายสิ่งใดฯตามมาตรา 269/1

- มาตรา 269/5 ความผิดใช้บัตรของผู้อื่นโดยมิชอบ

- มาตรา 269/6 ความผิดมีไว้เพื่อนำออกใช้บัตรของผู้อื่นโดยมิชอบตามมาตรา 269/5

- มาตรา 269/7 บทเพิ่มโทษสำหรับการกระทำความผิดกับบัตรสำหรับชำระค่าสินค้า หรือบริการ หรือใช้ชำระหนี้แทนเงินสด หรือใช้เบิกเงินสด

แนวคำพิพากษาศาลฎีกา

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2490/2558 แม้เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้บัตรเครดิตปลอมทั้ง 5 ใบ ในคราวเดียวกัน แต่ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์บัตรเครดิตของกลางว่า บัตรเครดิตปลอมแต่ละใบมีข้อมูลในบัตรของผู้ถือบัตรต่างรายกัน ต่างหมายเลขกันและมีข้อมูลของสมาชิกผู้ถือบัตรต่างธนาคารกัน 

บัตรทุกใบมีข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์ สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการแทนการชำระด้วยเงินสดได้ ทั้งโดยสภาพของการใช้บัตรดังกล่าว จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาให้มีการนำไปใช้แต่ละใบแยกต่างหากจากกัน

ซึ่งน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ถือบัตรหรือธนาคารเจ้าของบัตรตามเนื้อความของบัตรเครดิตปลอมแต่ละใบ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้ เพื่อใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ รวม 5 กระทง

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3872/2563 จำเลยปลอมใบสมัครบัตรเครดิตและบัตรวงเงินสดหมุนเวียนของโจทก์ร่วม ใช้แสดงเป็นพยานหลักฐานในการขอออกบัตร โดยจำเลยใช้เอกสารของผู้เสียหายที่ 2 ที่จำเลยปลอมขึ้นไปแสดงต่อพนักงานของโจทก์ร่วมพร้อมกับแสดงตนว่าเป็นผู้เสียหายที่ 2 โจทก์ร่วมได้ออกบัตรเครดิตและบัตรวงเงินสดหมุนเวียนให้แก่จำเลย 

ถือได้ว่าจำเลยใช้โจทก์ร่วมเป็นเครื่องมือในการออกบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริงของโจทก์ร่วมในนามของผู้เสียหายที่ 2 ให้แก่จำเลย เพื่อจำเลยจะนำไปใช้ชำระค่าสินค้าค่าบริการและเบิกถอนเงินสดในนามของผู้เสียหายที่ 2 แทนตัวจำเลยเอง

ซึ่งมีผลทำให้ผู้เสียหายที่ 2 อาจต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ร่วมแทนจำเลย เมื่อจำเลยได้นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองใบดังกล่าวไปใช้ จึงเป็นความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ

จำเลยใช้บัตรเครดิตและบัตรวงเงินสดหมุนเวียนของผู้อื่นไปเบิกถอนเงินสด เป็นความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์และความผิดฐานลักทรัพย์

ส่วนการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวไปชำระค่าสินค้าและค่าบริการเท่ากับจำเลยแสดงตนเป็นผู้เสียหายที่ 2 หลอกลวงร้านค้าและโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยได้ไปซึ่งตัวสินค้าและบริการจากผู้ถูกหลอกลวงจึงเป็นความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์และความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งพนักงานอัยการมีอำนาจเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ร่วมได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2564 บัตรเครดิตเป็น “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” ตามนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา 1 (14) (ก) ซึ่งผู้ออกได้ออกเอกสารคือบัตรเครดิตให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ ส่วนข้อมูลบัตรเครดิต ได้แก่ หมายเลขบัตรเครดิต ชื่อผู้ถือ และวันหมดอายุ ซึ่งปรากฏอยู่บนบัตรเครดิตนั้น ไม่เป็น “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” ตามนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา 1 (14) 

(ข) แต่การกระทำใดเป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ต้องพิจารณาว่า การกระทำนั้นเป็นวิธีใช้โดยทั่วไปของบัตรอิเล็กทรอนิกส์ชนิดนั้นหรือไม่ ไม่จำกัดว่าหากเป็น “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” ตามนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา 1 (14) (ก) แล้ว

การใช้จะต้องเป็นการใช้เอกสารหรือวัตถุอื่นใดที่ผู้ออกได้ออกให้โดยตรงเท่านั้น เพราะสามารถใช้เฉพาะข้อมูลหรือรหัสได้เช่นเดียวกัน การที่จำเลยนำข้อมูลบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ชำระค่าบริการที่พักของจำเลยผ่านเว็บไซต์ จึงเป็นการใช้บัตรเครดิตของโจทก์โดยมิชอบ

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5090/2565 คดีนี้จำเลยนำข้อมูลหมายเลขบนบัตรเครดิตจำนวนสิบหกหลัก วันหมดอายุ และเลขสามตัว (CVV) หลังบัตรเครดิตไปใช้ชำระค่าซื้อสินค้าหรือบริการกับผู้ขายสินค้า หรือร้านขายสินค้าออนไลน์บนเครือข่ายระบบอินเทอร์เน็ต ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ 

และมีปัญหาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อเฉพาะแต่ข้อมูลบัตรเครดิตดังกล่าวตามฟ้องไม่ใช่บัตรเครดิต จึงไม่มีรูปร่างที่จะเป็นวัตถุแห่งการกระทำผิดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์