น้ำโขงเพิ่มสูง เตือนจังหวัดอีสานเฝ้าระวัง 18-21 ก.ย. นครพนมเสี่ยงล้นตลิ่ง
น้ำโขงเพิ่มสูง สทนช. เตือนจังหวัดอีสานเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ 18-21 ก.ย.นี้ นครพนมระดับน้ำมีแนวโน้มล้นตลิ่ง
วันที่ 16 กันยายน 2567 ประกาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ฉบับที่ 15/2567 เรื่อง เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำบริเวณลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ เตือนน้ำท่วม น้ำล้นตลิ่ง
สทนช. ได้ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศ พบว่า ร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนัก และมีน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบน ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่ และจากการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์น้ำพบว่า มีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวัง ดังนี้
1. สถานการณ์แม่น้ำโขง เนื่องจากขณะนี้มวลน้ำหลากในแม่น้ำโขงได้ไหลผ่านจังหวัดเลย หนองคาย และบึงกาฬ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2567 โดยมีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดหนองคายสูงสุด 21,187 ลูกบาศก์เมตร/วินาที สูงกว่าตลิ่ง 1.62 เมตร และจะเคลื่อนตัวผ่านจังหวัดบึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 - 1.0 เมตร ในช่วงวันที่ 18 - 21 กันยายน 2567 โดยเฉพาะจังหวัดนครพนม ระดับน้ำมีแนวโน้มล้นตลิ่ง 0.3 - 0.5 เมตร ในวันที่ 18 กันยายน 2567
2. สถานการณ์น้ำห้วยหลวง บริเวณสถานีบ้านโนนตูม (Kh.103) อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ระดับน้ำ ณ วันที่ 16 กันยายน 2567 สูงกว่าตลิ่ง 0.21 เมตร จากการคาดการณ์แนวโน้มพบว่า ในวันที่ 17 กันยายน 2567 ระดับน้ำห้วยหลวงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงสุด เนื่องจากแม่น้ำโขงมีระดับน้ำสูงกว่าลำน้ำสาขา จึงไม่สามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขงได้สะดวก ซึ่งส่งผลให้ปริมาณน้ำล้นตลิ่งต่ำ และไหลหลากเข้าท่วมชุมชนที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำริมลำน้ำ จึงขอให้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมขัง บริเวณพื้นที่ด้านท้ายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง ได้แก่ อำเภอกุดจับ เมืองอุดรธานี และสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ในช่วงวันที่ 17 - 22 กันยายน 2567
ในการนี้จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดดำเนินการ ดังนี้
1. ขอให้เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้น และเตรียมรับมือจากสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งและท่วมขังบริเวณริมแม่น้ำโขง และริมลำน้ำบางสาขาของประเทศไทยที่ไม่สามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขงได้โดยสะดวก
2. วางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยปรับแผนการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และระบบชลประทาน เตรียมพร้อมบุคลากร เครื่องจักรให้พร้อมใช้งาน เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อประชาชน
3. ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำ และแจ้งเตือนล่วงหน้า ให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมในการขนของขึ้นสู่บริเวณที่สูงหรืออพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์