ไม่รอด! ลูกจ้างกับเพื่อนแอบขโมยของ นำเงินมาใช้จ่าย โดนจับแล้ว
สืบนครบาล ตามจับลูกจ้างในโรงงานร่วมกับเพื่อนแอบขโมยสายไฟ เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย ก่อนที่จะหลบหนีไปอยู่ต่างจังหวัด
กรณีตำรวจสืบนครบาล รวบลูกจ้างในโรงงานร่วมกับเพื่อนแอบขโมยสายไฟ เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย ก่อนที่จะหลบหนีไปอยู่ต่างจังหวัด
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 เจ้าหน้าที่ กก.สส.4 บก.สส.บช.น. ได้ร่วมจับกุมตัวนายสมพงษ์ อายุ 46 ปี ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ 420/2567 ลง 20 พ.ค.2567
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” จับกุมบริเวณบ้านพัก หมู่ที่ 6 ต.บ่อแร่ อ.วัดสิงห์ จว.ชัยนาท
พฤติการณ์แห่งคดี ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ ผู้แจ้งได้รับแจ้งจากหัวหน้าแผนกว่าสายไฟบริษัทฯได้หาย จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า สายไฟดังกล่าวถูกเอาไปโดยนาย สมพงษ์ ซึ่งเป็นลูกจ้างของ บริษัท แห่งหนึ่ง ย่านเทียนทะเล ได้รับความเสียหาย จึงมอบอำนาจให้ผู้แจ้งมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจนคดีจะถึงที่สุด จนต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ติดตามและจับกุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สน.เทียนทะเล เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ในชั้นจับกุม จากการซักถาม ผู้ต้องหาให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเป็นพนังงานในโรงงานแห่งหนึ่งย่านเทียนทะเล ต่อมาได้เห็นสายไฟภายในโรงงานหลายม้วน จึงร่วมกับพวก ลักเอาสายไฟภายในโรงงานดังกล่าว ไปจำหน่าย เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย ก่อนที่จะหลบหนีไปอยู่ที่ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ทั้งนี้ในชั้นจับกุมให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ฝากเตือนไปยังเจ้าของ ผู้ประกอบการ ควรหมั่นตรวจสอบและตรวจเช็คปริมาณสินค้า ทรัพย์สินของท่านอยู่เป็นประจำ หรืออาจติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อบันทึกภาพหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ของท่าน เพื่อเป็นการป้องกันมิให้กลุ่มคนร้ายหรือมิจฉาชีพ เข้ามาประทุษร้ายร่างกายหรือทรัพย์สินของท่าน
อีกทั้งยังเป็นพยานหลักฐานหากเกิดเหตุอย่างเช่นในลักษณะกรณีเช่นนี้ อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีอัตราโทษทั้งโทษจำและโทษปรับ หรือมีโทษสูงสุด ตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท