นักเรียนเฮ! ศาลปกครองสูงสุด สั่งเลิกกฎ ‘ตัดผมเกรียน - ห้ามแต่งหน้า’

นักเรียนเฮ! ศาลปกครองสูงสุด สั่งเลิกกฎ ‘ตัดผมเกรียน - ห้ามแต่งหน้า’

นักเรียนเฮ! ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกเลิกกฎ ‘ตัดผมสั้น - ห้ามแต่งหน้า’ ชี้จำกัดสิทธิเสรีภาพเกินกว่าเหตุ ขัด รธน. ปิดช่องโรงเรียนออกกฎเองด้วย

เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2568 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงฯ ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 24/2563 เพิกถอน กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน

ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ออกตามความในประพฤติดังต่อไปนี้ ถือว่าไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน นักเรียนชายตัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้าง และด้านหลังยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวดไว้เครา นักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากทางโรงเรียนหรือสถานศึกษาโดยอนุญาตให้ไว้ผมยาวเกินกว่านั้น ก็ไม่รวบให้เรียบร้อย นักเรียนใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวยนั้น มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับทรงทรงผม และการใช้เครื่องสำอางของนักเรียน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา กรณีถือได้ว่าเป็นกฎที่มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลผู้มีสถานะเป็นนักเรียน

โดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ซึ่งเป็นฐานอำนาจในการออกกฎกระทรวงดังกล่าว ระบุเหตุผลว่า เพื่อให้นักเรียน และนักศึกษาเป็นเยาวชนที่กำลังสร้างสมคุณสมบัติทั้งในด้านความรู้ ความคิด และคุณธรรม พร้อมที่จะรับมรดกตกทอดจากผู้ใหญ่เป็นพลเมืองดีมีประโยชน์แก่ประเทศชาติในอนาคต นักเรียน และนักศึกษาควรจะได้รับการอบรมดูแลใกล้ชิดจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ ที่ดีของครู อยู่ในโอวาทคำสั่งสอน รวมทั้งอยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง

เมื่อต่อมา ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ปรากฏหลักการ และเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2515 กำหนดสาระสำคัญ และรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพ และส่งเสริมความประพฤติเด็ก ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน โดยมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก และกฎกระทรวงกำหนดแนวทางการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กหรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก พ.ศ.2549 กำหนดว่า การกระทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กให้พิจารณาถึง (1) ลักษณะเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน (2) ความเหมาะสม ความต้องการ และความจำเป็นของเด็ก

ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2515 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ลงวันที่ 6 มกราคม 2518 ที่กำหนดข้อห้ามสำหรับนักเรียนเกี่ยวกับการไว้ทรงผม และการใช้เครื่องสำอาง ระบุวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครู โดยกำหนดให้อยู่ในคำสั่งสอน และโอวาทของผู้ใหญ่ และระเบียบประเพณี มิได้คำนึงถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และพัฒนาการของอัตลักษณ์ และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยจากช่วงวัยเด็กเล็กอายุ 6-9 ปี จนถึงช่วงวัยรุ่นอายุ 13-16 ปี ซึ่งมีสถานะนักเรียนที่อยู่ในบังคับของกฎกระทรวงดังกล่าว

กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯ และกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และยังอาจมีการบังคับใช้กฎที่พิพาทนั้นอย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ อันเป็นการขัดกับหลักการ และบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 จึงต้องถือว่าเป็นกฎที่ถูกยกเลิกไปโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2566 เนื่องจากมีเจตนารมณ์ที่ขัดกับหลักการ และบทบัญญัติมาตรา 22 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว 

อีกทั้งตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ได้กำหนดว่า นักเรียน และนักศึกษาต้องประพฤติตนตามระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียน และนักศึกษา พ.ศ.2548 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2562 ซึ่งแม้จะมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนไว้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่โรงเรียนหรือสถานศึกษาอาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนไว้เป็นองค์ประกอบย่อยของข้อกำหนดเกี่ยวกับการแต่งกาย โดยพิจารณาให้สอดคล้องตามหลักการเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก และคำนึงถึงการพัฒนาอัตลักษณ์ และบุคลิกภาพที่เหมาะสมตามช่วงอายุของนักเรียนได้ 

ประกอบกับเมื่อพิจารณาเนื้อหาของกฎกระทรวงฉบับที่พิพาท ซึ่งกำหนดลักษณะทรงผมของนักเรียน โดยมิได้คำนึงถึงพัฒนาการของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัย และความหลากหลายของอัดลักษณ์ทางเพศของบุคคล จึงมีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งกระทำมิได้ตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่าการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิให้ กฎกระทรวงดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ

พิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2519) ลงวันที่ 6 มกราคม 2518 ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 นับแต่วันที่ศาลปกครองสุดมีคำพิพากษา

 

 

อ่านสรุปคำพิพากษา: คลิกที่นี่

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์