วิจารณญาณเกี่ยวกับ บุหรี่ไฟฟ้า ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

การอภิปรายรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2568
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่านหนึ่งจากพรรคสีส้ม และเป็นกรรมาธิการวิสามัญฯ ด้วย ได้อ้างถึงองค์การอนามัยโลก ซึ่งผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยได้มาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และได้มอบเอกสาร “ข้อเรียกร้องเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า” เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566
ในรายงานของกรรมาธิการฯ ไม่มีส่วนใดที่องค์การอนามัยโลกบ่งชี้ว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน
องค์การอนามัยโลกเน้นย้ำว่า ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนว่าบุหรี่ไฟฟ้าสามารถใช้ในการเลิกสูบบุหรี่มวนได้
ดังนั้น การที่ผู้แทนราษฎรผู้นี้ อ้างว่าประเทศที่มีกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า มีอัตราการสูบบุหรี่มวนลดลงนั้น ข้อเท็จจริงคือ อัตราการสูบบุหรี่มวนในระดับประชากรโลกลดลงอย่างต่อเนื่องก่อนปี ค.ศ. 2014 ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าประเภทใช้ความร้อนเริ่มเข้ามาสู่ตลาด ดังนั้น จะอ้างไม่ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยลดการสูบบุหรี่มวน
บุหรี่ไฟฟ้าประเภทใช้ความร้อน เริ่มเข้ามาสู่ประเทศญี่ปุ่น สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี โปรตุเกส ในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งอัตราการสูบบุหรี่ในประเทศเหล่านี้ลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
Euromonitor International (เป็นองค์กรวิเคราะห์ข้อมูลด้านการตลาด อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และผู้บริโภค) วิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมยาสูบจำเป็นที่จะต้องมีลูกค้ากลุ่มใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ยาสูบ ไม่ว่าจะเป็น บุหรี่มวน หรือบุหรี่แบบให้ความร้อน
เอกสารภายในของอุตสาหกรรมยาสูบข้ามชาติเปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์ไร้ควันถูกผลิตขึ้นมาเป็นการสร้างรูปแบบใหม่ของการใช้ยาสูบสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการสูบบุหรี่มวนอีกต่อไป “…..เป็นการสร้างกำไรก้อนใหม่ต่างหากจากกำไรการขายบุหรี่มวน…..”
ผู้อภิปรายผู้นี้ ใช้วาทกรรมที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในรายงานของกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งหลักฐานรายละเอียดต่างๆ บ่งชี้ว่า ไม่มีมาตรฐานใดๆ ที่จะทำให้บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค
ทุกประเทศประสบปัญหาของการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน รวมทั้งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศที่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าอย่างมาก ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนได้
ข้ออ้างว่า การจัดเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าจะนำรายได้เข้ารัฐนั้น ผู้อภิปรายละเลยที่จะกล่าวถึงผลเสียมากมายหลายเท่าที่จะเกิดต่อเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ
และข้ออ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะเปิดโอกาสทางธุรกิจให้เกษตรกรชาวไร่ยาสูบนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะบุหรี่ไฟฟ้าใช้ นิโคติน สังเคราะห์ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อชาวไร่ยาสูบ
ข้อมูลเหล่านี้มีการนำเสนอเป็นเอกสารต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แต่ผู้อภิปรายซึ่งเป็นกรรมาธิการวิสามัญฯ เลือกที่จะไม่นำเสนอความจริงให้ครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม เครือข่ายครอบครัวปลอดบุหรี่ได้เปิดโปงการบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในเช้าวันที่ 20 มีนาคม 2568 ดังต่อไปนี้
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่เคยรับรองว่าบุหรี่ไฟฟ้าประเภทให้ความร้อนปลอดภัย
ผู้ผลิตยอมรับว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพและไม่มีหลักฐานว่าลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุจากการสูบบุหรี่มวนได้ ส่วนการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานนั้น ไม่เป็นความจริง
เพราะมีทั้งโลหะหนัก รวมทั้งสารอันตรายและสารพิษอื่นๆ ที่ไม่มีในบุหรี่มวน รายได้จากภาษีบุหรี่ไฟฟ้า ไม่คุ้มค่ากับความสูญเสียหลายเท่า
นอกจากนี้ ไม่มีประเทศใดที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากประเทศที่ห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย เพราะการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนน้อยกว่า
การอ้างสิทธิของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความไร้สาระ เพราะมีสารพิษมากมายซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก
รายละเอียดของหลักฐานเชิงประจักษ์มีอยู่ในรายงานของกรรมาธิการวิสามัญฯ แต่ก็ยังมีความพยายามบิดเบือนข้อมูลให้สังคมสับสน
ประเด็นสิทธิของเด็กนั้น มีความสำคัญมากเนื่องจาก เด็กและเยาวชนคือความมั่นคงและอนาคตของชาติ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
คือสิทธิที่จะได้รับการปกป้อง คุ้มครอง จากสารเสพติดต่างๆ ดังนั้น รัฐบาลไทย จำเป็นจะต้องตระหนักถึงสิทธิของเด็ก ซึ่งรัฐมีหน้าที่ปกป้องไม่ให้เป็นเหยื่อของบริษัทยาสูบข้ามชาติและเครือข่ายบริวาร
กรรมาธิการวิสามัญฯ อีกท่านหนึ่งจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข เริ่มอภิปรายด้วยภาพของเด็กนักเรียนชั้น ป. 4 ที่ได้รับผลกระทบจากบุหรี่ไฟฟ้า
ตั้งข้อสังเกตว่าในภาคผนวกของรายงาน ซึ่งมีรายชื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ผู้สนับสนุนแนวทางที่ 1 (คงมาตรการการห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า) มีจำนวน 8 คน เป็นแพทย์ 6 คน ซึ่งไม่เห็นด้วยกับบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย
ผู้สนับสนุนแนวทางที่ 2 (บุหรี่ไฟฟ้าประเภทให้ความร้อนถูกกฎหมาย) มีจำนวน 5 คน
และผู้สนับสนุนแนวทางที่ 3 (บุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดถูกกฎหมาย) มีจำนวน 21 คน ควรจะเปิดเผยด้วยว่า เป็นผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากี่ท่าน เป็นผู้เกี่ยวข้องกับการปลูกยาสูบหรือเป็นผู้มีส่วนได้รับผลประโยชน์จากบุหรี่ไฟฟ้ากี่ท่าน
ท่านนี้สรุปว่าทางรอดเดียวของเด็กไทยคือ รัฐบาลต้องคงมาตรการการห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย บุหรี่ไฟฟ้า และดำเนินการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น
ความแตกต่างของการอภิปราย 2 ท่านนี้ คือท่านหนึ่งเป็นแพทย์ ที่พบและสัมผัสกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีต่อเด็กและเยาวชน จึงห่วงใยต่ออนาคตของชาติ
ในขณะที่อีกท่านหนึ่ง เป็นนักกฎหมายแต่เลี่ยงที่จะเสนอข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน และไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิของเด็ก สังคมต้องช่วยกันพิจารณาถึงความเหมาะสมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร.