เราควรทำอย่างไรในเมื่อโลกไม่แบนจริง? | บ้านเขาเมืองเรา

เดือนนี้เป็นวาระครบรอบ 20 ปีของการพิมพ์หนังสือชื่อ “โลกแบน” (The World Is Flat) เขียนโดยนักวิจารณ์การเมืองชื่อดังชาวอเมริกันโธมัส ฟรีดแมน
หนังสือได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจึงแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ถึง 36 ภาษาและขายได้กว่า 4 ล้านเล่ม
เนื้อหาของหนังสือ (มีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา) ไม่ได้แย้งว่าโลกใบนี้มีลักษณะกลม ซึ่งนักคณิตศาสตร์ชาวกรีกโบราณได้พิสูจน์ให้เห็นมากว่า 5 พันปี และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปยกเว้นในหมู่สมาชิกไม่กี่พันคนของ “สมาคมโลกแบน” (The Flat Earth Society)
แต่ผู้เขียนตั้งชื่อเช่นนั้นคงเพื่อกระตุกความสนใจของผู้อ่านมากกว่า ส่วนเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีร่วมสมัย ที่ทำให้ชาวโลกติดต่อสื่อสารกันได้ภายในพริบตา ไม่ว่าอยู่ในส่วนไหนของโลก
เสมือนโลกใบนี้ไม่มีพรมแดน แต่มีลักษณะแบนแบบแผ่นกระดาษ สภาพเช่นนี้จะมีผลดีต่อชาวโลกหลายอย่าง โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจและทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ทางเศรษฐกิจชาวโลกโดยทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคไหน จะสามารถเข้าถึงตลาดโลกอันกว้างใหญ่และเงินทุนได้อย่างทัดเทียมกัน
นั่นหมายความว่า ระบบตลาดเสรีที่ชาวโลกโดยทั่วไปใช้อยู่ในขณะนี้จะเอื้อให้ผู้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผลิตสินค้าและบริการออกมาแลกเปลี่ยนกัน
ตามที่ปราชญ์ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า การแบ่งงานกันทำ (division of labor) ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนและการใช้ทรัพยากรของโลก พร้อมกับกระจายรายได้ไปให้ชาวโลกอย่างทั่วถึง
ประเด็นนี้มีข้อพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัด กล่าวคือ ผู้ประกอบการในประเทศที่มีความมั่งคั่งสูงนำเงินทุนไปลงในประเทศที่มีรายได้ในระดับต่ำ กว่าก่อให้เกิดการจ้างงานและรายได้ในประเทศกลุ่มหลัง
พร้อมกันนั้นก็มีการเปิดพรมแดนค้าขายกันแบบเสรี ส่งผลให้ผู้บริโภคของประเทศในกลุ่มแรกเข้าถึงสินค้าที่ราคาต่ำลง
ตัวอย่างที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์คงได้แก่ การลงทุนในจีนและส่งสินค้าที่ผลิตได้ในราคาถูกไปขายในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เอื้อให้จีนพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนตัวอย่างที่สำคัญแต่ไม่โดดเด่นเท่า ได้แก่ ชาวอเมริกันไปสร้างโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านเม็กซิโกและแคนาดาแล้วส่งสินค้าไปขายในบ้านของตน
ส่วนทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขจะเกิดขึ้นเพราะเทคโนโลยีใหม่เอื้อให้ชาวโลกติดต่อสื่อสารและไปมาหาสู่กันได้สะดวก ภาวะเช่นนี้จะมีผลสำคัญต่อการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน อันเป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
อย่างไรก็ดี การคาดหมายในด้านนี้ไม่มีผลตามคาด เนื่องจากชาวโลกยังรบกันไม่ขาดในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในแอฟริกา ในย่านตะวันออกกลางและแม้กระทั่งในยูเครน ซึ่งคู่ต่อสู้น่าจะมีความเข้าใจกันดี เนื่องจากเป็นเพื่อนบ้านและเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตด้วยกัน
ร้ายยิ่งกว่านั้น ยังมีปรากฏการณ์ที่อาจนำไปสู่สงครามที่กว้างและร้ายแรงกว่าเมื่อประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาประกาศล้มกระดานระบบการค้าและการลงทุนเสรีที่วิวัฒน์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษโดยเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลกโดยเฉพาะจากจีนในอัตรา 145%
ปัจจัยที่ทำให้สหรัฐล้มกระดานการค้าและการลงทุนเสรี ได้แก่ การขาดดุลการค้าระดับมหาศาลอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน
เนื่องจากชาวอเมริกันไม่สามารถผลิตสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าของคู่ค้าได้ ส่งผลให้จีนพัฒนาได้อย่างรวดเร็วจนเป็นมหาอำนาจที่สามารถท้าทายสหรัฐได้
การล้มกระดานการดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงสูงที่มีอยู่คู่กับการค้าและการลงทุนแบบเสรีที่มีมาตลอดประวัติศาสตร์ ถึงขนาดทำให้สังคมล่มสลาย
ในกระบวนการพัฒนา การพึ่งพาตลาดส่งออกและทุนจากภายนอกเป็นเสมือนการยืมจมูกของผู้อื่นหายใจ สารพัดปัจจัยอาจทำให้เกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็น ความเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ การเกิดโรคระบาดอย่างแพร่หลาย
สงคราม หรือการล้มกระดานการค้าของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงนี้เป็นที่รับรู้ในหมู่ของนักพัฒนา ซึ่งเสนอให้พิจารณาการกระจายความเสี่ยงและลดการยืมจมูกผู้อื่นหายใจเป็นทางออก
ในแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องนี้รวมไว้ในด้าน “การสร้างภูมิคุ้มกัน” ซึ่งโดยทั่วไปควรนำมาใช้ทั้งในระดับบุคคลและในระดับประเทศ.