การพนัน กับ รายได้ในประเทศ และ เจตนาของนักการเมือง

ข้อเสนอของรัฐบาลที่จะผ่านกฎหมาย ให้มีบ่อนการพนันในสถานบันเทิงครบวงจรครบวงจรทั่วประเทศ โดยอ้างว่าจะสร้างรายได้อย่างงดงาม
ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่อต้านแบบกว้างขวางอย่างรวดเร็ว นอกจากจะสร้างรายได้ให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนแล้ว รัฐบาลยังอ้างว่าบ่อนการพนันดังกล่าวจะเข้ามาแทนที่บ่อนเถื่อนที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในประเทศอีกด้วย
เหตุผลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า รายได้จากบ่อนการพนันที่รัฐบาลอ้างถึงนั้นมิใช่รายได้ที่เกิดขึ้นใหม่ หากเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศอยู่แล้ว แต่มันเป็นรายได้ที่เกิดจากกิจผิดกฎหมาย จึงไม่นับรวมเข้าไปในรายได้ในประเทศ (จีดีพี)
ความประหลาดข้อนี้เกิดจากการนับรายได้ในประเทศของวิชาเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบัน นั่นคือ ไม่รวมรายได้อันเกิดจากกิจผิดกฎหมายทุกชนิด
ด้วยเหตุนี้ รายได้ที่เกิดจากการขายบริการทางเพศซึ่งถูกกฎหมายในประเทศเนเธอร์แลนด์จึงถูกนับรวมเข้าไปในรายได้ในประเทศของเขา
ส่วนประเทศไทยเราไม่นับ เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้มีกิจการบริการทางเพศทั้งที่การขายบริการชนิดนี้มีอยู่ทั่วไปและอาจจะมากกว่าในเนเธอร์แลนด์เสียด้วยซ้ำ
กฎหมายในแต่ละสังคมต่างกัน เนื่องจากมันเป็นสมมติที่แต่ละสังคมตราขึ้นมาบนฐานของหลักคิดและวัฒนธรรมของตน
ในประเทศขนาดใหญ่ที่ใช้วิธีกระจายอำนาจจนเกิดการปกครองท้องถิ่นอย่างจริงจัง แต่ละท้องถิ่นอาจตรากฎหมายขึ้นมาใช้เอง เช่น ในสหรัฐอเมริกา บ่อนการพนันและการขายบริการทางเพศเป็นกิจถูกกฎหมายในรัฐเนวาดา แต่รัฐส่วนใหญ่ไม่อนุญาต
นอกจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไป หลักคิดอาจเปลี่ยนตามไปด้วย เช่น ในอดีต กฎหมายไม่อนุญาตให้ผลิตสุรา แต่วันนี้ กิจการผลิตสุราเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในสหรัฐ
ที่มาของหลักคิดบางทีเป็นที่น่าฉงนว่าเกิดขึ้นอย่างไร ในปัจจุบันนี้ มีกิจอย่างหนึ่งซึ่งทั่วโลกยอมรับทั้งที่มันมีโทษสูงเป็นที่ประจักษ์ นั่นคือ การสูบบุหรี่ ซึ่งมีการผลิตและการค้าสนับสนุนกิจให้โทษเหล่านี้จึงนับรวมเข้าไปในรายได้ในประเทศ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อการสูบบุหรี่มีผลทำให้เกิดโรคร้าย ค่ารักษาพยาบาลยังทำให้รายได้ในประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย
เช่นเดียวกับการบริโภคอาหารเกินพอดีอย่างต่อเนื่องซึ่งไม่ผิดกฎหมาย เมื่อความอ้วนทำให้เกิดโรคต่าง ๆ และการรักษาพยาบาลทำให้รายได้ในประเทศเพิ่มขึ้น ฉะนั้น การเพิ่มรายได้อาจมิใช่สิ่งดีที่สังคมเราต้องการเสมอไป
การสร้างบ่อนการพนัน ดังที่รัฐบาลเสนอซึ่งต้องมีกฎหมายรองรับนั้นไม่ได้เป็นไปตามหลักคิดของไทย
หากนำของผู้อื่นเข้ามาใช้ทั้งทีน่าจะตระหนักกันดีว่า มันมีโทษและขัดต่อคำสอนของพุทธศาสนาที่คนไทยกว่า 90% อ้างว่าเป็นศาสนาของตน
การนำหลักคิดของผู้อื่นเข้ามาทั้งที่รู้ว่ามันมีโทษนี้เป็นสิ่งที่กลุ่มนักการเมืองผู้กำอำนาจในปัจจุบันนำเข้ามาใช้เมื่อปี 2544 ในช่วงนั้น ไทยเรามีแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอันประเสริฐอยู่แล้ว
แนวคิดของผู้อื่นที่ผู้กำอำนาจนำเข้ามาทั้งที่น่าจะตระหนักว่ามันจะมีผลจนทำให้ประเทศล่มจมได้แก่ แนวคิดประชานิยมแบบเลวร้าย.
การไม่ใช้หรือไม่มีหลักคิดของตัวเองแต่นำของผู้อื่นซึ่งอาจแฝงอันตรายไว้มาใช้นี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้สังคมล่มสลายในประวัติศาสตร์
ดังมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือชื่อ “สู่จุดจบ ! The Coming Collapse of Thailand” หนังสือเล่มนั้นถูกห้ามวางขายหลังพิมพ์ออกมาใหม่ ๆ เมื่อต้นปี 2549
แต่ในขณะนี้มีให้ดาวน์โหลดได้ฟรีในที่ต่าง ๆ รวมทั้งจากเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา ถ้าไม่สะดวกจะอ่าน อาจหาฟังได้จาก YouTube
ทั้งที่ แนวคิดทำบ่อนการพนันให้ถูกกฎหมายและการใช้แนวคิดประชานิยมแบบเลวร้ายจะสร้างความเสียหายถึงกับทำให้สังคมล่มจม รัฐบาลที่นำโดยนักการเมืองกลุ่มเดียวกันยังผลักดันให้นำเข้ามา
ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เจตนาที่แท้จริงของนักการเมืองกลุ่มนี้คืออะไร พวกเขามีเจตนาร้ายต่อสังคมไทยแฝงอยู่หรือไม่
ชาวไทยส่วนใหญ่จะเฝ้าดูกันต่อไปจนชาติของตนล่มสลาย หรือจะร่วมมือร่วมใจกันออกมาขัดขวางอย่างเต็มที่จนคนพวกนี้ต้องลงเวทีไป?