บ้านพระราชทาน พระบริบาลจากในหลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชปณิธานแน่วแน่ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อบรรเทาทุกข์ยากให้แก่พสกนิกร ด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นไปด้วยพระมหากรุณา
“เราได้บ้านแล้วนะ ในหลวงพระราชทานบ้านให้พวกเรา”
เสียงดีใจของวิลาศ เพ็ชรแก้ว ชาวจังหวัดตรัง กล่าวภายหลังจากเกิดเหตุอัคคีภัย ทำให้ที่พักอาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลัง ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างบ้านให้แก่ครอบครัว เพื่อมีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคง
"ไฟไหม้บ้านเมื่อปี 62 กลายเป็นคนไม่มีที่อยู่ หมดเนื้อหมดตัว ชีวิตจะเริ่มต้นตรงไหนไปไม่ถูก มองไปรอบตัว ยังเหลืออุปกรณ์ทำมาหากิน ตั้งหลักหาบ้านเช่าอยู่ไปก่อน ทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้อง แล้วก็หาเงินมาสร้างบ้านหลังใหม่บนที่ดินที่มีอยู่ พวกเพื่อนกับหน่วยงานต่างๆ ที่รู้ข่าวก็มอบเงินช่วยเหลือ เมื่อนำมารวบรวมกับเงินที่หามาจากการค้าขายขนมครกในแต่ละวัน ก็ยังไม่เพียงพอกับภาระค่าใช้จ่าย
พอหลานสาวของเพื่อน เห็นว่าเราเดือดร้อน เขาทำงานเป็นเลขานุการที่บริษัทอู่รถยนต์ อาสาเขียนฎีกาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อขอพระราชทานความช่วยเหลือเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยจากในหลวง ส่งไปที่สำนักพระราชวัง เพราะเราเป็นคนเขียนหนังสือไม่คล่อง ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
ผ่านไปราวสองอาทิตย์ เจ้าหน้าที่โทร.มาบอกว่า ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ในหลวงพระราชทานบ้านหลังใหม่ให้นะคะ ได้ยินแล้วดีใจที่เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่าน หลังจากนั้น มีเจ้าหน้าที่จากศูนย์ดำรงธรรม เจ้าหน้าที่จังหวัดมาสำรวจพื้นที่ แล้วเราไปร่วมประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เทศบาลนครตรัง รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ อีกหลายหน่วยงาน ปรึกษากันว่าจะสร้างบ้านพระราชทานยังไง"
จากการพูดคุยกันในวันนั้น นำไปสู่การร่างแบบบ้านโดยเทศบาลนครตรัง ทำเป็นบ้านชั้นเดียว ขนาดความกว้าง 6 คูณ 6 เมตร ประกอบด้วยหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องเอนกประสงค์และหนึ่งห้องน้ำ ส่วนครัวไทยทำอาหารอยู่ด้านนอกอาคาร แล้ววันลงเสาเอกบ้านพระราชทาน ยังนำไปสู่ความร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่าย
“จำแม่นว่า วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นายกเทศมนตรีฯ รองนายกเทศมนตรีฯ เจ้าหน้าที่เทศบาลฯ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ประชาชนจิตอาสามาช่วยกันลงเสาเอก ส่วนเรื่องอาหารการกินใครพอมีฝีมือ ก็มาช่วยกันทำกับข้าวเลี้ยงคนที่มาร่วมงาน ทุกคนมีในหลวงเป็นศูนย์รวมจิตใจ ถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านด้วย
พอเสร็จพิธียกเสาเอก พวกทหารและจิตอาสามาช่วยกันก่อร่างสร้างบ้าน แต่ละวันเราเข็นรถไปขายของ เห็นความคืบหน้าทีละส่วน มีเจ้าหน้าที่หมั่นคอยมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ทำให้เรามีเรี่ยวมีแรงทำงาน ผ่านไปราวๆ สองเดือน บ้านสร้างเสร็จเป็นรูปร่าง"
กระทั่งวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบบ้านพระราชทานให้แก่ ครอบครัวนางสาววิลาศ เพ็ชรแก้ว ที่ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกา ขอพระราชทานความช่วยเหลือกับเชิญถุงพระราชทานและเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 301 ถุง ไปมอบแก่ราษฎรในพื้นที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง อีกด้วย
"คนที่มาร่วมพิธีมอบบ้านบอกว่า บ้านสวยนะ ได้อยู่สบายแล้ว คืนนั้นเป็นคืนแรกที่นอนในบ้านพระราชทาน เรานอนไม่หลับเลย ในใจคอยคิดตลอดว่า เป็นเรื่องจริงใช่มั้ย เป็นเรื่องจริงใช่มั้ย เรามีบ้านแล้ว ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงพระราชทานความช่วยเหลือ ความทุกข์ใจค่อยๆ หายไป
ตอนนี้ความเป็นอยู่ดีขึ้น มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตและทำความดีต่อไป เราเชื่อในสิ่งนี้นะ แม้อาชีพการงานของเราเป็นแม่ค้า หาเช้ากินค่ำ ส่งหลานเรียนหนังสือ เลิกงานก็ไปเป็นอสม.(อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ออกไปช่วยดูแลผู้ป่วยติดเตียงตามบ้าน พอถึงหน้าฝนไปสำรวจแหล่งยุงลายตามชุมชน
แล้วก็ไปเป็นจิตอาสาเมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนา ทางวัดจัดงานอะไร เราไปช่วยทำความสะอาด จัดเตรียมสถานที่ คอยอำนวยความสะดวกให้กับคนที่มาทำบุญ เวลามีใครชวนไปออกหน่วยชุมชนสัญจร ตัดผมฟรีให้กับชาวบ้าน ซ่อมรถยนต์ ก็ไปกับเขา มีอะไรที่เราพอช่วยเขาได้ ก็ทำด้วยความเต็มใจ เราทำแบบนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว
มีคนเคยถามว่าเราทำไปทำไมเหรอ เงินทองก็ไม่ได้เพิ่มอะไร ก็บอกไปว่าเราไม่มีเงินก็จริง แต่มีแรง ก็คิดแบบนี้ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่หวังอะไร และวันนี้ผลบุญที่ทำมา จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากในหลวง พระราชทานความช่วยเหลือ เหมือนชีวิตได้เกิดใหม่ ขอให้ในหลวง และพระราชินี ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน"