รื้อข้อบังคับพรรคสกัด "ขาหื่น" ปชป.เพิ่ม2หมวดล้อมคอกปมฉาว ยันไม่ล้วงคดี
"รัชดา" เผยดันรื้อข้อบังคับพรรค เพิ่ม2หมวดสกัดนักการเมืองคุกคามทางเพศ-ล้อมคอกคดีฉาว ยันไม่ล้วงลูกคดีความ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.รัชดาธนาดิเรก กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางในการตรวจสอบคุณสมบัติ และเกณฑ์การคัดเลือกผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า จากกรณีอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดคดีทางเพศ ซึ่งพรรคเสียใจและขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง
และเพื่อเป็นการยืนยันว่า พรรคไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องดังกล่าว รวมถึงเน้นย้ำในจุดยืนของพรรคเรื่องการต่อต้านการคุกคามและการล่วงละเมิดทางเพศ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ทำหน้าที่ กำหนดแนวทางในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรค และลักษณะต้องห้าม รวมทั้งเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริยธรรมทางเพศของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรค และมีมาตรการในการช่วยเหลือให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากกรณีที่เป็นข่าวด้วย
น.ส.รัชดา กล่าวต่อว่า คณะกรรมการ 9 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยบุคคลภายในพรรคและผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรภาคประชาสังคม ที่มีบทบาทด้านการต่อต้านการคุกคามและละเมิดทางเพศ ได้ทำงานร่วมกัน และได้ข้อสรุปคือ ให้ระบุในข้อบังคับพรรค
1.เพิ่มคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคให้ครอบคลุมความผิดเกี่ยวกับเพศ
2.เพิ่มหมวดแนวปฏิบัติว่าด้วยการต่อต้านการละเมิดและหรือคุกคามทางเพศ
3.จัดกิจกรรมรณรงค์และสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องการต่อต้านการละเมิดและหรือการคุกคามทางเพศ และการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งข้อเสนอนี้จะนำเข้าสู่การพิจารณาของกรรมการบริหารและที่ประชุมใหญ่พรรค เพื่อปรับแก้ข้อบังคับพรรคต่อไป
รายละเอียดมีดังนี้
1.เพิ่มข้อ 19 คุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรค ในข้อบังคับพรรค คือ “ต้องไม่ถูกคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดทางเพศรวมถึงการกระทำความรุนแรงต่อบุคคลในครอบครัว เด็ก สตรี รวมทั้งการค้ามนุษย์ และการค้าประเวณี
และให้เพิ่มถ้อยคำดังกล่าว ในใบสมัครสมาชิกพรรค ลักษณะต้องห้าม โดยเพิ่มเป็นข้อ 22
2.เพิ่มหมวดในข้อบังคับพรรค “แนวปฏิบัติว่าด้วยการต่อต้านการละเมิดและหรือคุกคามทางเพศ ซึ่งครอบคลุม ความรุนแรงที่เกิดจากอคติทางเพศ ความผิดทางอาญาเกี่ยวกับเพศ ความผิดเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ความผิดเกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ“ โดยให้มีแนวปฏิบัติ ดังนี้
2.1 มีกลไกรับทราบข้อมูลและรับเรื่องร้องเรียนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดและหรือคุกคามทางเพศของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและกรรมการบริหารพรรค
2.2 มีคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีมีการละเมิดหรือการคุกคามทางเพศตามแนวทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งนี้ การตรวจสอบ ต้องได้รับการยินยอมจากผู้เสียหาย ดำเนินการเป็นความลับ และเคารพข้อมูลส่วนบุคคลของทั้งผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหา
2.3 หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ให้ดำเนินการตามข้อบังคับพรรค
3. พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม จะไม่ปกป้องหรือช่วยเหลือคนผิดหรือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด และพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กระบวนการยุติธรรม
4. ให้ความช่วยเหลือด้านกฏหมายและด้านสังคมอื่นๆให้แก่ผู้เสียหาย
5. จัดการอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจแก่บุคลากรในพรรคและสมาชิกพรรคในเรื่องการต่อต้านการละเมิดและหรือการคุกคามทางเพศ
6. จัดกิจกรรมรณรงค์และสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องการต่อต้านการละเมิดและหรือการคุกคามทางเพศ และการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม
น.ส.รัชดายังได้กล่าวขอบคุณกรรมการจากภายนอก ทั้ง 4 ท่าน กล่าวคือ นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง (ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม) นางเรืองรวี พิชัยกุล (ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา) นางสาวธนวดี ท่าจีน (ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง) และนางสาวเสาวลักษณ์ ทองก๊วย (กรรมการสิทธิคนพิการสหประชาชาติ) ที่ได้ทุ่มเทความตั้งใจให้กับภารกิจนี้ ทุกท่านมองเห็นประโยชน์ตรงกันว่า ปัญหาการล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศไม่ได้เกิดขึ้นกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งเท่านั้น มันเป็นปัญหาสังคม ซึ่งต้องช่วยกันแก้ไข อย่าให้เพียงเรื่องนี้เป็นประเด็นเฉพาะกิจ ข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการชุดนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคการเมืองอื่นด้วย พรรคการเมืองต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อแสวงประโยชน์ทางเพศ
“สำหรับผู้เสียหายจากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ พรรคพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านกฏหมายและด้านสังคมอื่นๆ ซึ่งสามารถพูดคุยกับมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม และมูลนิธิเพื่อนหญิงได้ และขอยืนยันว่าเราจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและปกป้องคนผิดหรือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด” ดร.รัชดา กล่าว