เปิดใจ “ไอติม” ภารกิจดันนโยบาย “ก้าวไกล” ยันต้องแก้ไข ม.112 ไม่รีเทิร์น ปชป.
เปิดใจ “ไอติม พริษฐ์” ทิ้งบริษัทสตาร์ทอัพ หวนกลับคืนภารกิจผลักดันนโยบาย “พรรคก้าวไกล” ยันต้องแก้ไข ม.112 เชื่อประชาชนรู้ปัญหา ได้แนวร่วมเพิ่มขึ้น ยืนยันหนักแน่นไม่รีเทิร์น ปชป.
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2565 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “ไอติม” ที่เพิ่งถูกพรรคก้าวไกลแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายของพรรค ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ดำเนินรายการโดยนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ น.ส.อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์
นายพริษฐ์ กล่าวถึงการไปร่วมกิจกรรมกับพรรคก้าวไกลมาหลายปีแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมาเปิดตัวในช่วงเวลานี้ ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา งานหลักคือการบริหารบริษัทสตาร์ทอัพด้านการศึกษา รวมถึงการรณรงค์การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ และทำงานกับคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกลในบางโปรเจ็ค แต่งานหลัก 3 ปีที่ผ่านมา คือการบริหารงานบริษัท ถ้าเราจะกลับมาทำงานการเมือง เราต้องมั่นใจว่า การถ่ายทอดงานในบริษัทของเราให้แก่ผู้บริหารคนใหม่ได้ จึงต้องใช้ระยะเวลาสักพัก โดยช่วงต้นปี 2565 เป็นจุดที่ประเมินว่าสามารถถ่ายทอดภารกิจทั้งหมดบริษัทให้ผู้บริหารใหม่ได้ จึงตัดสินใจกลับเข้ามาทำงานการเมืองเต็มตัว
เมื่อถามว่า สถานการณ์ในพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กำลังฝุ่นคลุ้ง และเริ่มมีเสียงถามหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตนายกรัฐมนตรี ถ้านายอภิสิทธิ์ได้กลับพรรค แล้วชวนไอติม จะกลับไปช่วยกู้ ปชป.หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า “ไม่ครับ ตอบทุกท่านเลย”
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า ทุกการตัดสินใจทางการเมืองของตน ขึ้นกับอุดมการณ์และความคิดว่า อะไรดีสุดสำหรับประเทศ และตั้งแต่ปี 2562 ที่พรรคตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม) ตนลาออกจากสมาชิกพรรค จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่มีแผนใด ๆ ก็ตามที่จะกลับไป
เมื่อถามว่า จะไปทำอะไรในพรรคก้าวไกล ฟังตำแหน่งยังงง ๆ ว่าทำอะไรกับตำแหน่ง ผจก.การสื่อสารและการรณรงค์ของพรรค นายพริษฐ์ กล่าวว่า อธิบายให้เห็นภาพคือการทำงานร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของกระบวนการทำนโยบาย
ต้นน้ำ คือการทำงานกับทีมนโยบายของพรรค ส.ส. เพื่อวิเคราะห์ปัญหาของประเทศ พัฒนาชุดนโยบายตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ในส่วนต้นน้ำ พรรคก้าวไกล ดำเนินการมาเป็นระยะแล้ว มีเครื่องปรุงอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ในช่วง 2 ปีที่ตั้ง Think Forward Center ที่ช่วยคิดนโยบายออกมา การทำงานกับทีมต้นน้ำตรงนี้ มั่นใจว่าชุดนโยบายรอบคอบ ทำได้จริง สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน
ปลายน้ำ คือการศึกษากับประชาชน โดยเฉพาะเตรียมพร้อมเลือกตั้งที่จะมาถึง สื่อสารกับประชาชนอย่างไร สรุปออกมาในรูปแบบไหน และสร้างความมั่นใจกับประชาชนได้อย่างไรว่า เราเสนอนอกจากดีแล้ว มันทำได้จริง ในฐานะพรรคใหม่อย่าก้าวไกล เป็นภาระพิสูจน์สูงพอสมควร ทำอย่างไรให้มั่นใจว่าถ้าเราเป็นรัฐบาลแล้วทำได้จริง
เข้าใจว่าความยากสุดไม่ใช่ทำนโยบาย ความยากสุดคือทำอย่างไรให้ชาวบ้านมั่นใจนโยบายพรรคก้าวไกล ทำได้จริง มีทักษะในเชิงบริหารจัดการจริง ๆ ตรงนี้เป็นคอขวดของพรรคก้าวไกลที่ยากสุดหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ใช่ เป็นความท้าทายของพรรคใหม่ แต่คิดว่า 2 สิ่งที่เราพยายายามสร้างความมั่นใจ คือ
1.สอดคล้องกับที่ตนพูดบนเวทีว่า นโยบายโครงสร้างอาจเห็นภาพยาก เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การจัดสรรงบประมาณ หรือการศึกษา อาจไม่พอที่จะบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาอย่างไร เราจึงนำเสนอรัฐธรรมนูญฉบับก้าวไกล จะมีการแก้ไขอย่างไร ส่วนการจัดสรรงบประมาณ อีกไม่นานจะมีการพิจารณางบประมาณปี 66 มันไม่พอวิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้เงินไม่ตรงจุดอย่างไร เราจึงเสนองบประมาณฉบับก้าวไกล ถ้าเราเป็นรัฐบาล งบ 3.3 ล้านล้านบาท เราจะจัดสรรอย่างไร ทำอย่างไรให้มีงบประมาณสวัสดิการประชาชนเพียงพอ สูงขึ้น กระจายอำนาจในการตัดสินใจใช้งบไปสู่ท้องถิ่นได้มากขึ้น ลักษณะการลงรายละเอียดให้เยอะสุด
2.คาบเกี่ยวกับกระแสการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ถ้าพรรคก้าวไกลได้รับความไว้วางใจจากคน กทม. ให้นายวิโรจน์ (ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคก้าวไกล) เป็นผู้ว่าฯ กทม. จะเป็นอีกพื้นที่ พรรคก้าวไกลได้พิสูจน์ให้เห็นถึงทักษะการบริหาร เริ่มจากเมืองก่อนไปบริหารประเทศ
“ต้องบอกว่าเป็นภารกิจที่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ทำ ในที่ประชุมใหญ่ได้คุยกับว่าที่ผู้สมัครในพื้นที่ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เจอคำถามจากประชาชนอยู่แล้ว ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร การเตรียมชุดคำตอบ สื่อสารไปยังปากผู้สมัครทุกคนสำคัญ พึ่งผมคนเดียวไม่ได้ ต้องทำงานเป็นทีม” นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกล ผ่านบทเรียนก็เยอะพอสมควร นโยบายที่เคยเป็นประเด็นสายล่อฟ้า เช่น แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ยังจะมีอยู่หรือไม่ หรือถอดบทเรียนแล้ว จะพักไว้ก่อน นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยังจะมีอยู่ โดยหัวหน้าพรรค (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) ได้ยืนยัน และประกาศบนเวทีที่ประชุมใหญ่แล้วเช่นกัน เราต้องยืนยันว่า กฎหมายฉบับไหน ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม เป็นปัญหาอย่างไร ต้องดำเนินการแก้ไข เพราะฉะนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนทิศทางอะไร
เมื่อถามย้ำว่า นโยบายการแก้ ม.112 ยังมีอยู่ แม้ว่าจะเป็นนโยบายเป็นประเด็นสายล่อฟ้าก็ตาม นายพริษฐ์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลต้องยืนยันว่า อะไรเป็นปัญหาต้องแก้ไขตรงไปตรงมา สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงข้อมูลพูดตรงไปตรงมา ละเอียดอ่อนมากน้อยแค่ไหน ถ้าสื่อสารตรงไปตรงมา แก้ไขเป็นสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน จำเป็นต้องทำทุกเรื่อง
เมื่อถามอีกว่า หากยืนยันอย่างนี้ จะเป็นข้อจำกัดขยายมวลชนหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ไม่คิดว่าเป็นข้อจำกัด ยกตัวอย่าง ปัญหา ม.112 เชื่อว่าประชาชนหลายคนเห็นว่า มันมีปัญหาต้องแก้ไขจริง ไม่ว่าความหนักของโทษ จำคุก 3-15 ปี สูงมาก เมื่อเทียบในมิติต่าง ๆ หรือกฎหมายฉบับอื่นในประเทศ หรือกฎหมายหมิ่นประมาทในประเทศอื่นทั่วโลก พอเราสื่อสารตรงไปตรงมาว่า จากข้อมูล ข้อเท็จจริงมีปัญหาเช่นนี้ เราจะแก้ไขอย่างไร เชื่อว่าประชาชนเข้าใจ และเป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่เป็นการขยายแนวร่วมเพิ่มติมขึ้นด้วยซ้ำ
เมื่อถามว่า นโยบายที่พรรคก้าวไกลกำลังระดมสมองทำกันอยู่ วางจังหวะก้าวไว้อย่างไร จะทยอยนำเสนอประชาชนเป็นเรื่อง ๆ อะไรเสร็จ อะไรพร้อมนำเสนอไปก่อน หรือนำเสนอในคราวเดียวเลย นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้ตกผลึก 100% ยอมรับว่า ในสภาวะโลกปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ รอติดตามการทำงานของพรรคก้าวไกลต่อไป ถ้ามีปัญหาอะไรเข้ามา ในฐานะพรรคต้องมีคำตอบต่อวิกฤติเฉพาะหน้า แต่นโยบายการเลือกตั้งครั้งต่อไปมาเมื่อไหร่ เดี๋ยวรอดู
เมื่อถามว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้จะเป็นตัวชี้วัดอะไรบางประการในทางการเมืองสำหรับอนาคตของพรรคก้าวไกล ประเมินกันอย่างไร ในกลุ่มแกนนำของพรรค นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทุกการเลือกตั้งสร้างโอกาสเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เราไม่ได้ทำงานหนักประเมินว่า โอกาสเป็นอย่างไร สิ่งที่เราทำงานหนักคือนำเสนอชุดนโยบายที่นายวิโรจน์เสนอแล้ว 12 ด้าน พยายามเผยแพร่ชุดความคิดนี้ให้กับประชาชนเยอะมากที่สุด หากนายวิโรจน์ไม่ได้บริหาร กทม. แต่อย่างน้อยถ้าชุดนโยบายที่เสนอไว้มันถูกสนับสนุนโดยคนในสังคม หรือผู้สมัครคนอื่นหยิบยกไปปฏิบัติ ก็ยินดี คิดว่าเป้าหมายของพรรค คือผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงสำหรับประเทศ ตำแหน่งไม่ได้มีผลสำคัญ แม้ว่าถ้าได้ทำเองเราเชื่อมั่น ไว้วางใจมากกว่า แต่ที่สำคัญคือผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงตรงนี้