"เลขาฯสมช." ชี้ "ถอดแมสก์" ในกทม. ต้องรอบคอบ ปลอดภัย สั่งพลการไม่ได้
"เลขาสมช." เผย ถอดหน้ากากอยามัย ในกทม. เป็นนโยบาย "ศบค." อยู่แล้ว "นายกฯ" ย้ำชัดเจน ต้องรอบคอบ หวั่น เสียหายซ้ำเติม ปชช. ชี้ ต้องผ่อนคลายเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้ความปลอดภัยมากที่สุด จ่อ ประเมิน ทุก10 วัน ปม เปิดผับถึงตี2
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการพิจารณาผ่อนคลายให้ถอดหน้ากากอนามัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของศบค. อยู่แล้ว และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็มีนโยบายชัดเจน ว่า ต้องการให้ประชาชน ประกอบอาชีพได้อย่างปลอดภัย ต้องพิจารณาให้รอบคอบ หากไม่รอบคอบจะเกิดความเสียหาย และถือเป็นการซ้ำเติมประชาชน จะต้องทำอย่างอย่างระมัดระวัง
ทั้งนี้ กระบวนการทั้งหมด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกทม. จะมีโครงสร้างอยู่ ศปก.ศบค.ที่ประชุมกันทุกสัปดาห์ เพื่อเสนอประเด็นปัญหาและเสนอข้อพิจารณาต่างๆ และที่ประชุมจะรวบรวมให้เป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลกำหนด คือ การผ่อนคลายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนภายใต้ความปลอดภัย
ส่วนการพิจารณาขยายเวลาให้เปิดผับบาร์ถึงเวลา 02:00 น. จะมีการประเมินในทุก 10 วันนับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ก็จะได้เห็นตัวเลขการติดเชื้อ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการฝ่าฝืนละเมิดกฏหมาย ความร่วมมือของ ประชาชนและผู้ประกอบการ ทั้งหมดจะนำเข้าสู่พิจารณา ประเมิน และอาจจะขยายเพิ่มเติม เช่น เปิดกิจการ สถานบริการต่างๆ ทั่วประเทศดำเนินการได้ในภาวะปกติ ภายใต้มาตรการควบคุมโรค ซึ่งจะโยงมาถึงเรื่องหน้ากากอนามัยที่จ.ภูเก็ตและกทม. จะเป็นพื้นที่นำร่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
"หากประเมินจากสถานการณ์ในขณะนี้ มีความเป็นไปได้สูง อีกทั้งประชาชนให้ความร่วมมือสถานบริการก็เปิดให้บริการตามมาตรการควบคุมโรค แต่อีกหนึ่งเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือ การฉีดวัคซีน ซึ่งบางพื้น บางจังหวัดที่ยังมีการฉีดวัคซีนที่น้อยมาก น่าเป็นห่วง แต่พื้นที่กทม.ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว ซึ่งทั้งหมดจะต้องพิจารณาอย่างเป็นขั้นตอน" เลขาฯ สมช. กล่าว
ส่วนเรื่องความสมัครใจที่จะให้ใส่หน้ากากอนามัย หรือไม่ใส่นั้นเป็นประเด็นในรายละเอียด ที่จะต้องมาดูว่าผ่อนคลายในลักษณะไหนให้ปลอดภัยมากที่สุด
ทั้งนี้ หากเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาของศปก.ศบค. จะต้องเสนอไปศบค.ชุดใหญ่ เพื่อแก้ไขข้อกำหนด ที่ออกโดยพ.ร.ก. ซึ่งข้อกำหนดฉบับที่ 24 กำกับไว้เรื่องหน้ากากอนามัยใครจะสั่งให้ถอดโดยพลการไม่ได้ ทั้งนี้เน้นย้ำว่า เรื่องที่สำคัญเร่งด่วนคือต้องการให้ประชาชนประกอบอาชีพอย่างเป็นปกติทุกสาขาอาชีพ ตามเวลาปกติที่กฎกฎหมายกำหนด มากกว่าเรื่องถอดหน้ากากอนามัย แต่ยืนยันว่าจะพิจารณาทั้ง 2 เรื่องนี้ควบคู่กันไป
นอกจากนี้เรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 5 กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดให้ประชาชนเข้ารับวัคซีน ด้วยเหตุผลเป็นการเฉพาะ เช่น ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ ที่บางประเทศมีเงื่อนไขกำหนดว่าจะต้องฉีดวัคซีนเข็มสุดท้าย จะต้องเป็นวัคซีนชนิด mRNA และกลุ่มที่มีความเสี่ยง ก็สามารถขอรับวัคซีนเข็มที่ 5 ได้ ประชาชนอย่ากังวล ในการเข้ารับวัคซีนแอสตราเซเนก้า ยืนยันว่า วัคซีนไม่ได้หมดอายุ และหากหมดอายุไม่สามารถฉีดให้ประชาชนได้