ป.ป.ช.ประสาน ตร.-อัยการ ล่าตัว "สุนทร" หลังศาลออกหมายจับใหม่ คดีไร้อายุความ
เลขาธิการ ป.ป.ช. เผยเร่งประสาน "ตำรวจ-อัยการ" ตามไล่ล่าจับกุม "สุนทร วิลาวัลย์" คดีหนุน จนท.รัฐออกโฉนดมิชอบรุก "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" หลังศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 2 ออกหมายจับฉบับใหม่ ไม่นับอายุความแล้ว
กรณีศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบ ภาค 2 ได้ออกหมายจับฉบับใหม่แก่นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปราจีนบุรี ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ ซื้อรักษาทรัพยากรโดยใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายเเก่รัฐ มาตรา 151 ภายหลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลผิดคดีสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยมิให้มีการนับอายุความของคดีนี้แล้วนั้น
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีนี้ว่า หลังศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 2 ออกหมายจับนายสุนทร ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานออกโฉนดรุกที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรีนั้น ขั้นตอนต่อไป ป.ป.ช.จะไปประสานงานกับตำรวจ และอัยการ เพื่อตามจับกุมตัวนายสุนทรไปส่งให้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 2 ตามหมายจับของศาลต่อไป
นายนิวัติไชย กล่าวด้วยว่า เพราะตอนนี้เท่ากับคดียังไม่หมดอายุความ ตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ที่ระบุว่า หากผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีไประหว่างถูกดำเนินคดี หรือระหว่างการพิจารณาของศาล มิให้นับระยะเวลาที่หลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ โดยจะพยายามเต็มที่ตามจับนายสุนทรมาให้ได้
อนึ่ง เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2565 ที่ผ่านมา นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยความคืบหน้าในคดีที่พนักงานอัยการนัดส่งตัวฟ้องนายสุนทร ในคดีการมีส่วนร่วมบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี ช่วงปี 2545 ที่มีรายงานว่าคดีได้หมดอายุความวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า จากการประสานงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 โดยนายพิจิตร จูฑะประชากุล อธิบดีอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตภาค 2 ได้ความว่าเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบฯภาค 2 ได้ออกหมายจับนายสุนทร ในความผิด ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ ซื้อรักษาทรัพยากรโดยใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายเเก่รัฐ มาตรา 151 โดยให้ส่งตัวมาให้พนักงานอัยการนำตัวยื่นฟ้องศาล
นายประยุทธ กล่าอวีกว่า เนื่องจากเป็นการหลบหนีระหว่างคดี จึงไม่นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกกล่าวหาระหว่างหลบหนีเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ ตามมาตรา 7 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เเละมาตรา 13 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 โดยคดีที่ศาลออกหมายจับนี้เป็นไปตามที่พนักงานอัยการมีหนังสือเเจ้งให้ ปปช.ไปดำเนินการขอออกหมายจับจนเป็นที่มาการออกหมายจับวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 7 บัญญัติไว้ว่า ในการดำเนินคดีอาญาตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช.ฉบับนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดี หรือระหว่างการพิจารณาของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ และเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลย ถ้าจำเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ มิให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98 มาใช้บังคับ
ส่วนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 13 บัญญัติว่า ในการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาคดีของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ