"รัฐบาล" เล็งตั้ง "กระทรวงน้ำ" หลังมีปัญหา หน่วยงานมากเกินไป ขาดเอกภาพ

"รัฐบาล" เล็งตั้ง "กระทรวงน้ำ" หลังมีปัญหา หน่วยงานมากเกินไป ขาดเอกภาพ

"ประวิตร" ถก คกก.นโยบายจัดการน้ำ พล แนวโน้มอนาคต ความต้องการใช้น้ำสูง แต่ปัญหาการบริหารจัดการยังขาดเอกภาพ มีหน่วยงานมากเกินไป เห็นชอบ จัดตั้ง "กระทรวงน้ำ" ต่อไป

ที่ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ครั้งที่ 2 / 65 ผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ โดยที่ประชุมร่วมพิจารณาให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ ต่อผลการศึกษาโครงการวิจัยการศึกษานวัตกรรมเชิงระบบ โครงสร้างและกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ โดย สอวช.ร่วมจัดทำกับ TDRI โดยสรุปภาพรวมแนวโน้มบริบทของนำ้ในอนาคต มีความต้องการน้ำสูง ปริมาณมีความแปรปรวนสูงจากปัญหาสภาพอากาศ การใช้น้ำมีผลิตภาพต่ำ ใช้น้ำสิ้นเปลืองและน้ำต้นทุนไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำ  

ปัญหาการบริหารจัดการนำ้ยังขาดเอกภาพและการบูรณาการที่เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ทั้งอำนาจหน้าที่ แผนงาน โครงการและงบประมาณ มีหน่วยงานรับผิดชอบด้านน้ำมากเกินไป 

ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐ ยังเน้นแก้ปัญหาด้วยการลงทุนก่อสร้าง และไม่ให้ความสำคัญกับการจัดการด้านความต้องการ พร้อมเสนอ การออกแบบ Roadmap การพัฒนานวัตกรรมเชิงระบบ เพื่อการบริหารจัดการน้ำ ที่ประชุมจึงเห็นชอบหลักการ ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ สทนช. ให้สามารถขับเคลื่อนภารกิจ เพื่อนำไปสู่การพัฒนา เป็นการจัดตั้ง “กระทรวง” ในอนาคตต่อไปโดยขยายบทบาทให้ครอบคลุมทั้งมิติอุปสงค์และอุปทาน 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การบริหารจัดการน้ำ เกี่ยวข้องกับหน่วยงานมากกว่า 38 หน่วยงานและกฎหมายหลายฉบับ มีปัญหาด้านต่างๆที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ จึงต้องอาศัยความร่วมมือวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาแบบก้าวกระโดด เพื่อเร่งให้เกิดความยั่งยืนด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศโดยเร็ว 

ทั้งนี้ รัฐบาลมีความจำเป็นยิ่ง ที่จะต้องยกระดับการบริหารจัดการน้ำให้มีความสำคัญ โดยนำไปสู่การจัดตั้งหน่วยงานระดับกระทรวง เพื่อเผชิญกับวิกฤติและความมั่นคงด้านน้ำในอนาคตอันใกล้นี้ 

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับ ขอให้ สทนช. ร่วมกับ อว. TDRI และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งยกร่างพิมพ์เขียวการปรับปรุงกลไกล การบริหารจัดการน้ำของประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างกฎหมายและงบประมาณ พร้อมทั้ง ยกร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรมให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และขอให้นำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อปัญหาและจุดอ่อน เพื่อพัฒนาเพิ่มศักยภาพ บุคลากร หน่วยงาน และเทคโนโลยีของ สทนช. ให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะ คณะกรรมการลุ่มน้ำ 22 ลุ่ม และคณะอนุกรรมการจังหวัด จำเป็นต้องเร่งดำเนินการคู่ขนานในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ ขอให้เน้นความสำคัญ ข้อมูลและนวัตกรรม รวมทั้งความต้องการประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายแผนงานไปพร้อมกัน