90 ปี ปชต.ไทย "ชัชชาติ" ชี้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ความหวังเปลี่ยนการเมืองใหญ่
"ชัชชาติ" ปัจฉิมกถา วาระ 90 ปี ประชาธิปไตยไทย ชี้เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เป็นความหวังเปลี่ยนการเมืองใหญ่ ความเกลียดชังจะลดลง เผยเบื้องหลังชัยชนะ 1.38 ล้านเสียงด้วยแนวคิดแคมเปญของคนรุ่นใหม่ แนะ 3 ข้อ สำหรับคนอยากทำการเมือง หมดยุคให้สัญญาแล้วลืม
24 มิ.ย. ที่ห้องคุณหญิงพูนสุข วิทยาลัยนานาชาติ ปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวปัจฉิมกถาในวาระ 90 ปีประชาธิปไตยไทย หัวข้อ “90 ปี ประชาธิปไตย ก้าวต่อไปของประชาชน : ประสบการณ์ประชาธิปไตยผ่านมุมมองการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ตอนหนึ่งว่า ผมน่าจะถือเป็นน้องใหม่เกือบล่าสุดของระบบประชาธิปไตย มีคนน้องใหม่กว่าผม คือนายกเมืองพัทยา ที่กกต.รับรองหลังผม
ทั้งนี้เราพูดถึงประชาธิปไตย 90 ปีมานี้มันเครียด มีแต่เรื่องที่หดหู่ เรื่องที่หมดความหวัง แต่ผมว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. คิดว่ามีความหวัง ถึงเวลาของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องรับคบเพลิงต่อ จะเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าประชาธิปไตย หรือแนวคิดที่ทำให้เราได้คะแนน 1.38 ล้านเสียงนั้น เชื่อว่าเป็นคะแนนหรือแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่เป็นการเมืองระบบเก่า
"อยากจะฝากน้องรุ่นใหม่ประชาธิปไตยไม่ได้น่ากลัว การเลือกตั้ง เราอาจจะมองว่าเป็นคนละบริบทกับเรา เป็นเรื่องของนักการเมือง แต่ผมไม่คิดว่าผมเป็นนักการเมืองจ๋า ตอนที่สมัครผู้ว่าฯ เราเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนโฉมการเมือง จากนักการเมืองอาชีพไปสู่คนที่เป็นนักคิด มีความหวัง สร้างความหวัง" นายชัชชาติ กล่าว
นายชัชชาติ กล่าวว่า "เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่นะ เพราะไม่รู้จะไปลาออกกับใคร ไม่รู้จะไปยื่นใบลาออกกับใครเหมือนกัน ตอนนี้ก็คือมีสองตำแหน่ง ผู้ว่าฯกทม.ด้วย และตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย แต่เราลาออกจากพรรคเพื่อไทยมา 3 ปีแล้ว เลยมี 2 ตำแหน่ง แต่ตำแหน่งหลังไม่มีเงินเดือนนะ ลาออกมาตอนนั้นก็ตัดสินใจเป็นอิสระแน่นอน ก็จะมาทำผู้ว่าฯกทม. เริ่มฟอร์มทีม 3-4 คน เรามี 3 คำถามที่เราต้องถามตัวเองเสมอ ถ้าเกิดน้องอยากทำการเมือง มันไม่ได้น่ากลัว"
1. เราเข้าใจสิ่งที่เราทำดีหรือไม่ ตรงนี้สำคัญ ตนสมัครผู้ว่าฯ เป็นตำแหน่งสำคัญ ถามว่าเข้าใจสิ่งที่ทำดีพอหรือไม่ อันนี้คนที่ทำการเมืองต้องคิด เพราะเรามีลูกจ้างและข้าราชการ กทม. 8 หมื่นคนที่ทำเรื่องนี้มาตลอดชีวิตเขา คนที่จะมาเป็นผู้นำ ถามว่าเข้าใจเรื่องการกวาดถนน การระบายน้ำ ขยะ การจราจร เรื่องฝุ่น ดีพอเท่ากับคนที่อยู่หรือยัง เพราะฉะนั้นการเมืองไม่ใช่เรื่องที่ฉันอยากจะมาเล่นการเมือง แต่มันคือเรื่องของเทคนิคที่ต้องเข้าใจระดับหนึ่ง อย่างน้อยต้องเข้าใจมากกว่า หรือเท่ากับคนที่เขาทำประจำอยู่แล้ว แต่การเมืองที่ผ่านมาเราไม่เป็นอย่างนั้น อยากเล่นการเมือง มีคะแนนเสียงได้ ชนะได้ แต่ไม่เคยมองด้านเทคนิค ว่าเรามีความสามารถหรือเปล่า นี่คือโจทย์สำคัญ โจทก์แรก
2.แคมเปญเราจะสอดรับกับโลกในอนาคตหรือไม่ หรือเราเอาวิธีเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มาคิดเรื่องการซื้อเสียง การโหวตเป็นกลุ่มๆ ไม่ได้คิดถึงอเจนด้าต่างๆ ในอนาคต
3.เราสนุกกับการทำหรือไม่ อันนี้เราถามทีมงานตลอด การเมืองไม่ใช่เรื่องของความหดหู่ และเป็นความหวัง หน้าที่เราไม่ได้ต้องสร้างความกลัว แต่เราต้องสร้างความหวัง ตนบอกจะเป็นผู้นำแห่งความหวัง ไม่เคยพูดว่าอย่าไปเลือกคนนู้น คนนี้น่ากลัว ไม่เคยพูด
"ประชาธิปไตยในอนาคตไม่ได้น่ากลัว เด็กรุ่นใหม่ทุกคนทำได้ ทุกคนมีความสามารถทั้ง 3 เรื่องนี้แน่นอน ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มีโอกาสเปลี่ยนแลนด์สเคปการเมืองใหญ่ วิธีคิด วิธีทำนโยบาย วิธีรวมอาสาสมัคร จะเห็นสิ่งใหม่ การใช้อารมณ์ ความเกลียดชังจะลดลง ใช้เหตุผลมากขึ้น" นายชัชชาติ กล่าว
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า ตนว่าการเมืองยุคใหม่ ต้องมาด้วยเนื้อหา มาด้วยทางออก ไม่ใช่มาด้วยการสร้างความกลัวความเกลียด แบ่งกลุ่มคน นั่นคือสิ่งที่เราทำ โลกประชาธิปไตยในอนาคตมีนีซมาร์เก็ตเยอะ ต้องมีทางออกที่ตอบโจทย์ทุกคนได้ ซึ่งแคมเปญของตนส่วนใหญ่ ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่คิด ตนไม่ได้คิด ถือเป็นอนาคตของประชาธิปไตยที่ตอบโจทย์ และมีคุณภาพ เด็กรุ่นใหม่ต้องมีส่วนร่วม อย่างป้ายหาเสียง รับรองเลยว่า ไม่มีใครเลือกตนเพราะป้ายใหญ่ หรือใครเลือกตนเพราะป้ายเยอะ ก็ไม่อยากให้มาเลือกเพราะป้ายเยอะ แต่อยากให้เลือกตนเพราะเห็นนโยบาย เลยใช้ป้ายขนาดเล็ก ก็เป็นแคมเปญที่มาจากคนรุ่นใหม่ แล้วใช้ป้ายน้อยกว่าด้วย
"กลายเป็นว่า ป้ายน้อย ป้ายเล็ก คนเห็นป้ายอื่นคิดถึงป้ายเรายิ่งดีขึ้นอีก ป้ายเราก็ยืนเด่นท้าทาย พายุมาก็ไม่ล้มไม่พัง ไม่ใช่ไสยศาสตร์ว่าเราแข็งแกร่ง แต่ป้ายมันเล็ก ลมมันไม่พัด ไอ้ป้ายใหญ่ลมพัดพังหมด พวกนี้คือวิธีสื่อสารของคนรุ่นใหม่ เพราะบางทีเราเอาคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยทำการเมือง ไม่มีโมเดลเก่าในสมอง เขาเลยคิดฟุ้ง แล้วผมคิดว่าเป็นประชาธิปไตยที่สนุก ทำแล้วมีความสุข"
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า ส่วนการอธิบายด้วยการ์ตูน 3 ช่อง สุดยอด เพราะต้องเข้าใจนโยบายอย่างละเอียดไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถถ่ายทอดผ่านการ์ตูน 3 ช่องได้ จะพูดอย่างไรให้เข้าใจ นั่นคือวิธีการสื่อสารที่เด็กรุ่นใหม่ชอบ คนรุ่นเก่าคิดไม่ได้ เป็นหน้าที่ของคนรุ่นใหม่
ส่วน Tiktok เด็ก 8-10 ขวบดูมากที่สุด มีผลกับการเมืองอย่างไร เด็กกลุ่มนี้ไปบอกพ่อแม่ให้เลือกชัชชาติ เด็กมีอิทธิพลกับพ่อแม่เยอะ เพราะแต่ก่อนพ่อแม่อาจจะเกลียดชัชชาติ แต่ลูกพูดทุกวัน ลุงชัชชาติๆ สุดท้ายก็มาดูนโยบายของเรา มีเยอะมากที่มาขอถ่ายรูปกับผม บอกว่าถ่ายให้ลูก
"มีคนถาม แต่ก่อนมีนโยบาย 3-4 อันเอง นโยบายเขียนในกระดาษเล็กๆ ก็ได้ แต่ของเรา เราบอกไม่พอ เราขอ 214 นโยบาย คนถามว่าชัชชาติเวอร์เปล่า เยอะไปไหม แต่นาทีนี้ต้องบอกว่า โห... โคตรดีใจเลย ที่มี 200 กว่านโยบายเพราะมันสามารถทำได้เลย ผมว่า 200 นโยบายไม่เยอะหรอก เทรนด์ของการเมืองโลก คุณต้องมีนโยบายที่ละเอียด ให้คนศึกษานโยบายคุณ ต้องออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ทุกคนได้ "นายชัชชาติ กล่าว
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า อนาคตการเมืองเปลี่ยนไป คุณต้องมีเทคนิค มีนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนมากขึ้น และต้องทำงานหนักมากขึ้น ถ้าคิดว่า พูดง่ายๆ สัญญาไปเถอะแล้วก็ลืม ทำได้ ไม่ได้ช่างมัน ไปตายเอาดาบหน้า หมดยุคแล้ว