"ธรรมนัส" รับ เสียทรง แพ้ศึกลำปาง บ้านใหญ่ถอนตัวร่วม "ศท." เพียบ
"ธรรมนัส" ปัดดีล "พินิจ" จนพ่าย เลือกตั้งซ่อม ลำปางเขต 4 เหตุ อยากพิสูจน์ตัวเอง ยัน ไม่ได้แกล้งแพ้ เลือดเต็มปากก็ต้องกลืน แฉ หัวคะแนนโดนบล็อก ยอมรับ พรรคเสียเครดิต เสียทรงมวย ว่าที่ผู้สมัคร- บ้านใหญ่ แห่ถอนตัวเพียบ
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซต์ไทยแลนด์ ถึงข้อสังเกตเรื่องผลการเลือกตั้งซ่อม ลำปาง เขต 4 ที่แกล้งแพ้เพื่อหาเหตุผลย้ายไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยว่า ถ้าเราไม่ลงพื้นที่จริงจะไม่รู้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเล่นลิเกหรือไม่ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทุ่มเทเท่ากับครั้งนี้ ตนลาประชุมสภา 2 อาทิตย์เต็ม มาอยู่ในพื้นที่ให้มีการจัดปราศรัยย่อย ทุกตำบลทั้งหมด 26 ตำบล ทุกวันวันละสามรอบ ตนลงปราศรัยด้วยตัวเอง เหตุเพราะว่าตนให้สำนักโพลสำนักหนึ่งทำโพล ตั้งแต่มีการประกาศให้เลือกตั้งซ่อมผลออกมาก็ชัดเจนว่าเราแพ้ขาด ตนก็เครียด มาประชุมกรรมบริหารพรรค และส.ส. ทั้งหมด เราต้องปรับกลยุทธ์ในการหาเสียง เพราะเป็นการต่อสู้ระหว่างเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยม
"แตกต่างจากการเลือกตั้งซ่อม ปี63 เพราะตอนนั้นเราได้คุยได้เจรจากับพรรคหลัก ครั้งนี้เราไม่ได้คุยกัน นายพินิจ จันทรสุรินทร์ ผมไม่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากท่าน ไม่มีเลย ดังนั้น พอผลโพล ออกมาครั้งแรกเราแพ้ ครั้งที่สองก็ยังแพ้อีก ผมถึงจำเป็นต้องลาสภา มาฝังตัวอยู่ในพื้นที่กับผู้สมัคร ทั้งขึ้นรถหาเสียง ทั้งขึ้นบ้านลงบ้าน ทั้งปราศรัยย่อยปราศรัยใหญ่ ผมทำทุกอย่าง สรรพกำลังที่ผมมีผมทุ่มเทจนถึงวันก่อนวันปิดหีบก็มั่นใจว่าผมชนะ เพราะกระแสที่สัมผัสจากพี่น้องประชาชนให้ความสนใจ แต่การปราศรัยแต่ละ.เป็นการปราศรัยย่อย คนที่มาฟังเฉลี่ยแล้วประมาณ 2-3หมื่นคน แต่คนส่วนใหญ่ยังมีอีกเยอะอีกเป็นแสนที่ไม่ได้ฟังเรา เขาก็ไม่เข้าใจจุดยืนของเรา ซึ่งเราไม่มีเวลาไปแก้ตัว"
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันเป็นการแกล้งแพ้หรือไม่ ตน คงไม่เก่งขนาดนั้น ตนว่าตนทุ่มเททุกอย่างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกนนำของตน ผู้ที่มีบทบาทในทางสังคมในพื้นที่ ก็เป็นกลุ่มเดิมๆ สะท้อนให้เห็นว่าครั้งนี้เหนื่อย แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้นำแม่ทัพ จะไปพูดให้ลูกพรรคเราฟังแล้ว ขวัญเสียไม่ได้ "เลือดเต็มปากก็ต้องกลืนลงท้องตัวเอง"
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เหตุผลที่ตนไม่ไปขอความช่วยเหลือจากนายพินิจ ทั้งที่เห็นผลโพลแล้วว่าแพ้ขาดเพราะ ตนมีความรู้สึกว่า ครั้งนี้นายพินิจเอง ภรรยาท่านก็นอนอยู่ห้องไอซียู เราจะไปรบกวนก็ไม่ใช่เรื่อง อยากจะเดินด้วยตัวเองและอยากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าฐานเราเพิ่มขึ้นหรือไม่ ประกอบกับเสียงสะท้อนที่ผ่านมา ในการทำหน้าที่ของนายวัฒนา สิทธิวัง อดีตส.ส.ลำปางเขต4 มีหลายเรื่องที่ถูกตำหนิ ตนก็พยายามแก้ไขมาโดยตลอด
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้นายพินิจ คงไม่ได้ส่งสัญญาณถึงฐานคะแนนของตัวเองเพื่อให้ช่วยพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยเป็นฝ่ายค้านชัดเจน แสดงจุดยืนชัดเจน และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเอง โดยเฉพาะนายพินิจ มีลูกเกรงใจพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อยู่ อย่าไปปฏิเสธความจริง
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เป็นไปได้ว่าอยากจะดูศักยภาพของตน ว่าเนื้อแท้ของฐานเสียงเป็นอย่างไร มีเท่าไหร่กันแน่ คงสงสัยในการเลือกตั้งปี 62 ว่าที่ได้3หมื่นกว่าคะแนน จริงหรือไม่ ก็อยากจะรู้ครั้งนี้ด้วยก็เป็นไปได้
"ผมว่าฐานของผมมันมีแค่นี้ ถามว่าฐาน 3หมื่นสำหรับเขตพื้นที่นี้สำคัญไหม สำคัญสำหรับการเลือกตั้งคราวหน้า ผมต้องถอดบทเรียนว่าผมจะต้องทำอย่างไรกับพื้นที่จังหวัดลำปาง อีก3เขตด้วย"
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวอีกว่า แกนนำที่มีบทบาทในพื้นที่ ก็ทราบอยู่ว่า ทั้ง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) , สมาชิกอาสาสมัครตำรวจบ้าน (สตบ.) ,ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.) รวมถึง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยทั้งหลาย เขาถูกเบรกโดยใครก็ตามที่มองไม่เห็นเขาไม่สามารถที่จะลงพื้นที่ให้ตนได้ เหมือนตัดกำลัง ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราพ่ายแพ้เลือกตั้ง
"สิ่งที่ผมทุ่มเทหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าผมเอาเล่นๆ หากผมไม่เอาจริง ทำให้คนที่มาร่วมงานกับผมเห็น แล้วเขาจะอยู่กับผมหรือ แล้วยังมีผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายคนที่กำลังจะเข้ามาเป็นครอบครัวเศรษฐกิจไทย ก็มองอยู่ ถามว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ผมได้หรือเสียมากกว่ากันผมเสียนะ พรรคเศรษฐกิจไทยเสียเครดิตมากกว่า ทรงมวยเสียเลย กระทบมาก เนื่องจากว่าที่ผู้สมัครหลายคนที่เป็นคนที่ผมมั่นใจว่าเขาจะกลับเข้ามานั่งในสภาได้ และหลายคนที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นบ้านใหญ่ หลายจังหวัดโดยเฉพาะภาคอีสานถอนตัว ถามว่าผมได้อะไร ผมมีแต่เสีย"
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่ม16 ที่100%กับตน มากกว่า5คน ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิม ซึ่งจะย้ายมาลงสมัครในนามพรรคเศรษฐกิจไทย หลายคนลงพื้นที่ในนามเศรษฐกิจไทยไปแล้ว