ยำใหญ่’ศักดิ์สยาม’ ฝ่ายค้านเปิดเส้นทาง "หจก.บุรีเจริญ" ส่อพฤติกรรมซุกหุ้น

ยำใหญ่’ศักดิ์สยาม’ ฝ่ายค้านเปิดเส้นทาง "หจก.บุรีเจริญ" ส่อพฤติกรรมซุกหุ้น

"ปกรณ์วุฒิ" ก้าวไกล เปิดเส้นทาง "หจก.บุรีเจริญ" โยง "ศักดิ์สยาม" พบโอนหุ้นก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 23 วัน - เข้าข่ายนอมินี ชี้ไม่แจ้งทรัพย์สินส่อพฤติกรรมซุกหุ้น

ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในส่วนของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ถึงความเชื่อมโยงห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ว่า บุรีเจริญ ก่อตั้งในปี 2539 โดยมี ตระกูลชิดชอบ ถือหุ้น 80% และที่ตั้งสำนักงานก็คือ บ้านของ นายศักดิ์สยาม ในขณะนั้น เมื่อมีตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นหจก. นี้ทั้งหมด และย้ายสำนักงานไปที่อื่น

ทว่าในยุครัฐบาล คสช.กลับพบว่า  นายศักดิ์สยาม ได้กลับมาเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของ บุรีเจริญซึ่ง ในปี 2558 โดยเพิ่มทุนเป็น 120 ล้านบาท และย้ายที่ตั้งสำนักงานมาที่บ้านหลังใหม่ของตัวเอง ก่อนที่ในปี 2561 นายศักดิ์สยาม ก็โอนหุ้นทั้งหมด และย้ายที่ตั้งสำนักงานบุรีเจริญออกจากบ้านของตัวเอง ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 23 วัน ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นการโอนหุ้นในลักษณะของนอมินี

“จากข้อมูลที่ได้รับไม่พบหลักฐานว่ามีการชำระเงินค่าหุ้นเลย หากมีการซื้อขายกันจริง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายต่ำกว่า สูงกว่าราคาทุนที่ 120 ล้านบาท นายศักดิ์สยาม หรือผู้ถือหุ้นคนใหม่ ก็จำเป็นต้องยื่นมูลค่าหุ้นส่วนเกินเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีหรือหากซื้อขายเท่าราคาทุน นายศักดิ์สยาม ก็ต้องระบุเงินที่ได้จากการขายหุ้นเป็นทรัพย์สินต่อประชาชน แต่ก็ไม่ปรากฏเงินก้อนนี้ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่น ปปช. ในปี 2562”

นายปกรณ์วุฒิ ยังกล่าวอีกว่า ในปี 2562 ทนายศักดิ์สยาม ยื่นทรัพย์สินในการเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ว่ามีทรัพย์สินอยู่ที่ 115 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน มีเงินสดบวกเงินฝากอยู่ประมาณ 76 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ เกือบทั้งหมดระบุว่าได้มาก่อนปี 61 แทบทั้งสิ้น คำถามคือ เงิน 120 ล้านบาท ก้อนนี้หายไปไหน

นอกจากนี้ยังพบว่า ยังมีการนำ หจก.บุรีเจริญ มาเป็นคู่สัญญากับรัฐ รับงานในกระทรวงคมนาคมที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรี เป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยหลายงานก็มีความผิดปกติคือ ราคาที่ชนะประมูลต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยไม่ถึง 0.3% และมีคู่เทียบเพียงรายเดียว และยังเป็นบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 5 ล้านบาทในปี 2562

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผู้ที่เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในธุรกิจ 4 แห่ง แต่มีสถานะทิ้งร้างไป 3 แห่ง ส่วนอีกแห่งที่เหลือไม่มีรายได้เลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และข้อมูลจากประกันสังคม และกรมสรรพากรในช่วงปี 2558-2563 ยังพบว่า มีการแสดงรายได้เพียงปีละประมาณ 100,000 บาท หรือเดือนละ 9,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินเดือนที่ได้รับจาก บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) ธุรกิจครอบครัวของตระกูลชิดชอบ มาตั้งแต่ปี 2558 ไล่เลี่ยกับช่วงที่ นายศักดิ์สยาม เป็นกรรมการบริษัท ศิลาชัย

 

นอกจากนี้ งบดุลของบริษัท ศิลาชัย ในปี 2561-2562 ยังระบุว่า ลูกจ้างคนนี้กลายมาเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ระยะยาว 221.5 ล้านบาท ของบริษัท จนปี 2564 สรุปสุดท้าย บริษัทนี้เป็นหนี้ลูกจ้างอยู่ 250.2 ล้านบาท และในขณะที่บริษัท ศิลาชัย จะขาดทุน และติดหนี้ก้อนโตกับคนนี้ ในปี 2562 บริษัท ศิลาชัย ยังบริจาคให้พรรคภูมิใจไทยไป 4.7 ล้าน ก็บริจาคให้พรรคไปอีก 2.77 ล้านบาท พร้อมกับให้ หจก.บุรีเจริญ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ บริจาคให้พรรคไป 4.8 ล้านบาท และในปี 2563-2564 ยังให้บริษัท ศิลาชัย กู้เพิ่มอีก 100 กว่าล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นการกู้เงินไม่มีสัญญา ไม่คิดดอกเบี้ยใดๆ

“ถ้าเราลองเปลี่ยนชื่อ พฤติการณ์นี้ทั้งหมดจาก นายเอ เป็น นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ และบริษัท ศิลาชัยเป็นเหมือนกงสี ทุกอย่างก็ดูเรียบง่าย ตัวเลขกำไรขาดทุนก็อาจไม่สำคัญมากนัก ถึงบริษัทจะขาดทุน และเป็นหนี้อยู่เป็นร้อยล้าน แต่ก็เป็นหนี้คนในครอบครัว เอาเงินไปบริจาคให้พรรคการเมืองตัวเองก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์