"รัฐบาล"เชิญชวน "ประชาชน" ฉีดวัคซีน "โควิด-19" เข็มกระตุ้น
โฆษกรัฐบาลย้ำ วัคซีนเข็มกระตุ้นจำเป็น ชวนประชาชนรีบเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นให้มากขึ้น ลดอาการเจ็บป่วยรุนแรง-ลดเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด-19 และยังช่วยให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าได้
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเชิญชวนให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มกระตุ้นตั้งแต่เข็มที่ 3 เป็นต้นไป เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ขวบ ซึ่งปัจจุบันได้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ประมาณ 50% ของประชากร จากที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าการฉีดเข็มกระตุ้นตั้งแต่เข็มที่ 3 ขึ้นไปไว้ที่ 60-70 %
"เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงขอความร่วมมือประชาชนทุกคนให้ความสำคัญกับการรีบเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยรวมของประเทศ รองรับการเปิดประเทศเต็มรูปแบบและการท่องเที่ยวของประเทศไทย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาลให้เดินหน้าต่อไปได้" นายอนุชา กล่าว
นายอนุชา กล่าวด้วยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับสัญญาการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ที่คงเหลือ จำนวน 3ล้านโดส ให้เป็นวัคซีนสำหรับกลุ่มเด็กที่มีอายุระหว่าง 6 เดือน ถึงน้อยกว่า 5 ปี (ฝาสีแดง) ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมทุกช่วงวัย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะได้รับมอบวัคซีนดังกล่าวภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 เพื่อดำเนินการฉีดให้แก่กลุ่มเด็ก จำนวน 1ล้านคน ในอัตรา 1 คนต่อวัคซีน 3 เข็ม
โดยมีระยะห่างในการฉีดวัคซีนคือ ฉีดเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์ ภายหลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว ให้เว้นระยะเวลา 6 สัปดาห์ จึงเข้ารับการฉีดเข็มที่ 3 ตามลำดับ เพื่อป้องกันการเกิดอาการรุนแรงในเด็กเล็กหากมีการติดเชื้อโควิด-19 รวมถึงภาวะการเกิด MIS-C หรือกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบที่เป็นภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในเด็กที่หายป่วยจากโรคโควิด-19 โดยประชาชนสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นได้ที่โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน รวมถึงที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ที่จะให้บริการถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 นี้