"สุเทพ "ลั่นหากผิดปมฮั้วสร้างโรงพัก5.8พันล้านปิดฉากชีวิตการเมือง
“สุเทพ” เดินทางถึงศาลฎีกา มั่นใจพ้นผิดคดีฮั้วประมูลทุจริตสร้างโรงพัก 396 แห่ง มูลค่ากว่า 5.8 พันล้านบาท ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ลั่นเเต่หากศาลชี้ผิดเตรียมปิดฉากชีวิตทางการเมือง หากไม่ผิดขอกู้เกียรติยศศักดิ์ศรีคืน
ที่ศาลฎีกา (สนามหลวง) สืบเนื่องจากกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกา อม.) กำหนดนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.23/2564 ที่ ป.ป.ช. หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกรวม 6 คน ได้แก่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 ที่ถูกกล่าวหาร่วมกันกระทำผิดต่อหน้าที่ราชการในการจัดจ้างโครงการก่อสร้างโรงพัก (ทดแทน) 396 แห่ง
โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดเผยกับสื่อมวลชนก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า วันนี้เป็นวันสำคัญมากสำหรับชีวิตของตน เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในกรณีของการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่ง ซึ่งการกล่าวหาตนเริ่มมาตั้งแต่ตอนที่มีการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เริ่มต้นด้วยประเด็นที่คู่แข่งทางการเมืองยกขึ้นมาโจมตี
“เพราะว่าในขณะนั้นสถานีตำรวจที่ประมูลไปแล้วสร้างไม่เสร็จ เลยเอาตนมาเป็นแพะ ส่วนคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีอีกคนหนึ่งก็คือคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ออกมาแถลงข่าวดำเนินคดีว่าตนมีการฮั้วประมูล ซึ่งขณะนี้ก็ถูกจำคุกลงโทษไปแล้ว”
โดยหลังจากนั้น ป.ป.ช. ก็ได้รับเรื่องต่อจากนาย ธาริต มาดำเนินการ เฉพาะการสอบสวนของป.ป.ช. ทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 7 ปี พอสอบสวนเสร็จก็ส่งสำนวนไปให้อัยการเพื่อฟ้องคดี แต่อัยการไม่เห็นด้วยกับสำนวน เนื่องจากความเห็นของอัยการคือตนไม่มีความผิด หลังจากมีการใช้เวลามากกว่าหนึ่งปีอัยการสูงสุดก็ได้มีการส่งสำนวนคืนให้ ป.ป.ช. ทำให้ ป.ป.ช.ดำเนินการฟ้องเอง
อย่างไรก็ตาม ตนได้ต่อสู้คดีด้วยข้อมูลข้อเท็จจริง ทั้งพยานหลักฐาน พยานบุคคลและตัวบทกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่ได้กระทำความผิดตามที่ได้มีการกล่าวหา ส่วนศาลจะพิพากษาอย่างไรตนก็เคารพศาล ตนเห็นว่าในบรรดาอำนาจอธิปไตย ทั้งอำนาจศาล อำนาจตุลาการ ถือเป็นหลักของบ้านเมือง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้อยู่เสมอ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็พร้อมน้อมรับแล้วก็ถือว่าได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่แล้ว และตนมั่นใจว่าที่ผ่านมาได้ทำคุณงามความดีให้กับบ้านเมืองและส่วนรวมอย่างเต็มที่แล้ว
สำหรับข้อกล่าวหาที่บอกว่าตนทุจริตโครงการก่อสร้างโรงพักนั้น ถือเป็นตาบาปที่ติดตัวมาหลายปี รวม 10 ปี ตกเป็นจำเลยสังคม ซึ่งถ้าวันนี้ศาลพิพากษายกโทษไม่ลงโทษตน ก็ถือว่าได้เกียรติยศและศักดิ์ศรีกลับคืนมา ถ้าโชคร้ายศาลสั่งลงโทษ ก็ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมต่อไป มาถึงวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรื่องทั้งหมด ก็รู้สึกสบายใจขึ้น ซึ่งคดีนี้ตนว่าความเอง ซักพยานเอง เชื่อมั่น ในความจริงและพยานหลักฐาน
"ในบรรดาอำนาจ อธิปไตย ยังเชื่อใน 3 เสาหลัก โดยตุลาการยังเป็นหลัก และที่พึงของประชาชนอยุ่ ไม่ว่าผลการตัดสินเป็นเช่นไร พร้อมน้อมรับ และถือว่าได้ต่อสู้ตามกระบวนการอย่างเต็มที่เเล้ว ส่วนที่บอกว่าเป็นวันสำคัญกับตัวเอง เพราะว่า มั่นใจว่า ได้ทำคุณงามความดี กับประเทศชาติบ้านเมืองด้วยความสุจริตมาโดยตลอด ข้อกล่าวหาว่าทุจริต มันเป็นตราบาปในชีวิตมาหลายปี และวันนี้ถ้าศาลพิพากษา ยกโทษก็จะถือว่าได้รับเกียนติยศและศักดิ์ศรีกลับคืนมา"
ทั้งนี้หากผ่านกระบวนการยุติธรรมแล้วผลไม่เป็นคุณ จะถือเป็นการปิดฉากทางการเมืองของตัวเองแล้ว เพราะตนไม่มีหลักฐานอะไรที่ใหม่กว่านี้แล้ว เนื่องจากได้นำเสนอครบถ้วนแล้ว คิดว่าควรจะจบวันนี้ ทั้งนี้ ตนยังเชื่อมั่นในพยานหลักฐานที่ได้เสนอไป และขอบคุณพี่น้องที่เป็นกำลังใจให้ตนมาเสมอ
สำหรับจำเลยที่ 1-6 ได้เดินทางมาเข้าฟังคำพิพากษาครบทุกคน แต่มีเพียงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนบริเวณด้านหน้าศาลเท่านั้น จากนั้น นายถาวร เสนเนียม นายชุมพล จุลใจ นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตเเกนนำกปปส. นายณัฐฏพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนางทยา ทีปสุวรรณ รวมถึงนายชาญวิทย์ วิภูศิริ ร่วมเดินทางมาให้กำลังนายสุเทพ เทือกสุบรรณและพวก โดยนายสกลธี กล่าวสั้นๆว่า วันนี้มาให้กำลังใจนายสุเทพและพวก ส่วนคำพิพากษาจะมีผลเป็นคุณหรือโทษ ให้เป็นอำนาจของศาล