ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลแต่เปลี่ยนประเทศ “ก้าวไกล” พร้อมมากสู้ศึกเลือกตั้ง
“ก้าวไกล” พร้อมมากสู้ศึกเลือกตั้ง! “พิจารณ์” ชู “พิธา” ชิงนายกฯ ยันจัดทัพ ส.ส.ไว้หมดแล้ว ทันทั้งกรอบเวลา กกต. 7 พ.ค. 66-อุบัติเหตุยุบสภา ลั่นคราวหน้าไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาล แต่เปลี่ยนอนาคตของประเทศ ผู้สมัครทุกคนเป็นตัวแทนความเปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2565 นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศวันเลือกตั้งออกมาเป็นวันที่ 7 พ.ค. 2566 รวมถึงท่าทีของพรรคก้าวไกลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในระยะปัจจุบันและอนาคตว่า พรรคก้าวไกลมีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ทั้งตามกรอบเวลาที่ กกต. กำหนด และในกรณีที่เกิดการยุบสภาก่อนกรอบเวลา
นายพิจารณ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามพรรคก้าวไกลเห็นว่าสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคสำหรับทุกพรรคการเมือง คือการออกกฎเกณฑ์ของ กกต. ในกรณี 180 วันก่อนการครบวาระของสภาชุดปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นการกำหนดกรอบอย่างกว้าง แต่จะส่งผลต่อการทำหน้าที่ของผู้สมัครในเขตต่างๆ ในการจัดกิจกรรม โดยเฉพาะสำหรับพรรคก้าวไกล ที่ต้องการสร้างพรรคการเมืองจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งทางพรรคก้าวไกลกำลังเฝ้ารอว่าหลักเกณฑ์ที่ กกต. จะออกมาเร็ว ๆ นี้ ว่าจะมีความชัดเจนและนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไร
ส่วนในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง เกี่ยวกับการวินิจฉัยวาระของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น นายพิจารณ์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูง ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งจะยังคงมีอำนาจในการยุบสภาด้วย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดการยุบสภาก่อนกำหนด แต่พรรคก้าวไกลตอนนี้มีแผนสำหรับสำหรับทุกกรณีอยู่แล้ว รวมถึงการเตรียมผู้สมัครทั้งแบบเขต 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ตามที่พรรคก้าวไกลได้รับฟังความคิดเห็นมาจากสมาชิกพรรคและประชาชนผ่านแคมเปญ “ก้าวไกล NEXT” ซึ่งประชาชนแทบทุกคนล้วนให้น้ำหนักและเรียกร้องให้พรรคต้องคัดเลือกผู้สมัครที่มีอุดมการณ์และความฝันยึดโยงร่วมกับพรรค เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “งูเห่า” ขึ้นมาอีก
ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความพยายามปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งเช่นกัน นายพิจารณ์ กล่าวว่า ไม่น่าจะสามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับมาได้อีกแล้ว เมื่อเทียบกับผลงานที่ผ่านมาในการเป็นแกนนำรัฐบาล ดังจะเห็นได้จากการเลือกตั้งซ่อมและการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ผ่านมา ที่สะท้อนความนิยมที่ตกต่ำลงของพรรค และการเลือกตั้งรอบนี้จะเป็นการพิพากษาโดยประชาชน ที่จะบอกว่าประเทศนี้ไม่ต้องการให้พรรคการเมืองเฉพาะกิจเพื่อการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารมีอำนาจอีกแล้ว
นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลมองการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนรัฐบาล แต่คือการเปลี่ยนประเทศ พรรคก้าวไกลไม่ได้ต้องการเพียงอำนาจและจำนวน ส.ส. ในสภา กระบวนการคัดสรรผู้สมัครของพรรคก็มีเป้าหมายเพื่อให้ ส.ส. เป็นตัวแทนแห่งความเปลี่ยนแปลง ไม่ทรยศต่อเสียงของประชาชน และจะเข้าไปยืนยันผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง อย่างที่พรรคก้าวไกลทำมาตลอดในการขับเคลื่อนภายใต้เส้นแบ่งที่ชัดเจน ระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและความนิยมทางการเมือง กับหลักการและผลประโยชน์ของประชาชน
“ยกตัวอย่าง กรณีของ พ.ร.บ. สุราก้าวหน้า และกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในระยะแรกที่มีการเสนอโดยพรรคอนาคตใหม่เดิม จะเห็นว่ามีความเห็นต่างในสังคมเกิดขึ้นมาก แต่พรรคก้าวไกลก็ยังคงยืนยันในหลักการและผลักดันร่างกฎหมายทั้งสองฉบับนี้เรื่อยมาจนถึงวันนี้ จนทำให้เกิดการปักธงความคิดในสังคมเป็นผลสำเร็จ ซึ่งหากการเลือกตั้งรอบนี้พรรคก้าวไกลได้อำนาจมากกว่าการเป็นฝ่ายค้าน หรือมีที่นั่งในสภามากพอ เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวไกลไปได้มากกว่านี้แน่นอน” นายพิจารณ์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวด้วยว่า พรรคก้าวไกล พยายามผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งขึ้นพร้อมกับการประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หากเกิดขึ้นได้จริง จะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการพลิกโฉมอนาคตของประเทศไทย มากกว่าเพียงการเปลี่ยนรัฐบาลอย่างแน่นอน
“พรรคก้าวไกลพร้อมที่จะเป็นรัฐบาล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ในอนาคตอันใกล้นี้เราจะมีการนำเสนอชุดนโยบายต่างๆ ออกมา ทั้งนโยบายที่มุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เสนอมาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ และชุดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาระยะสั้นและระยะกลาง เพื่อตอบโจทย์สถานการณ์ทั้งการเมือง สังคม และเศรษฐกิจในขณะนี้” นายพิจารณ์ กล่าว