"ทักษิณ" เย้ย "ประยุทธ์" ผ่านหนังสือ อวย "อุ๊งอิ๊ง" ไปได้ในทางการเมือง

"ทักษิณ" เย้ย "ประยุทธ์" ผ่านหนังสือ อวย "อุ๊งอิ๊ง" ไปได้ในทางการเมือง

"ทักษิณ" เขียนผ่านหนังสือเย้ย "ประยุทธ์" ติดล็อก 8 ปี รัฐธรรมนูญตัวเอง ซัด "ทหาร" ภัยคุกคามประชาธิปไตย ลั่นพร้อมสู้ทุกกติกา อวยลูก "อุ๊งอิ๊ง" ได้ดีเอ็นเอมาเต็ม เชื่อไปได้ในทางการเมือง  

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2565 ในงานเปิดตัวหนังสือThaksin Shinawatra Theory and Thought (ทักษิณ ชินวัตร หลักการและความคิด) หนังสือปกแข็งความยาว224หน้า จัดพิมพ์แบบสี่สี เป็นการบอกเล่าแต่ละช่วงเวลาต่างๆของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เรื่องราวความผูกพันธ์ในครอบครัวภรรยา ลูก หลาน ช่วงเป็นนักธุรกิจ การก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ได้รับชัยชนะจนได้เป็นนายกฯ ช่วงเวลารัฐประหาร นโยบายต่างๆ รวมทั้งบทสัมภาษณ์ ขณะเดียวกัน บุตรทั้ง3คน นายพานทองแท้ นส.พินทองมา นส.แพทองธาร ชินวัตร ยังได้สะท้อนมุมมองที่มีต่อพ่อ ที่น่าสนใจ ในหนังสือเล่มนี้ยังเปิดบทสัมภาษณ์ครั้งแรกของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยานายทักษิณ อีกด้วย  

สำหรับเนื้อหาในหนังสือได้แบ่งออกเป็นหลายภาคส่วน เช่น หลักการความคิด คอบครัว เพื่อน บุคคลที่ใกล้ชิด เคยทำงานด้วย โดยเนื้อหาการให้สัมภาษณ์บางช่วงบางตอน คาดว่าน่าจะมีการจัดทำมาก่อน เนื้อหา คำพูดบางส่วนได้ถูกเผยแพร่ผ่านบทสัมภาษณ์เปิดใจเมื่อวันที่26ก.ค.เนื่องในวันคล้ายวันเกิด73ปี ของทักษิณไปแล้ว เช่น การพูดถึงพวกชนชั้นการปกครองที่เขาใช้คำว่า อีลิต และการสั่งเสียต่อครอบครัวว่า ตายไม่เผา ให้เก็บร่างไว้  เป็นต้น  

\"ทักษิณ\" เย้ย \"ประยุทธ์\" ผ่านหนังสือ อวย \"อุ๊งอิ๊ง\" ไปได้ในทางการเมือง

ในช่วงแรกคณะผู้จัดทำได้ให้มองย้อนกลับไป เห็นลูกแต่ละคนเติบโตมา ลึกๆคิดถึงลูกแบบไหน โดยนายทักษิณบอกว่า โอ๊คเขาเป็นลูกคนโต ความเห่อความสปอยล์ ผมอาจจะมีมากกว่าสองคน แต่เขาเป็นคนที่มี astistryสูง เขามีครีเอทีฟดี แต่บางทีเราก็อยากให้เขาหาจุดของเขาให้เจอ อย่างวันนี้อิ๊งค์เขาไปเข้าประชุมการเมือง โอ๊คเขาก็ไปนั่งอยู่ด้วย คอยดูแลน้อง เพราะประสบการณ์ในด้านของความเข้าใจการเมือง โอ๊คจะมากกว่าน้อง แต่น้องจะเข้าใจลึกอีกแบบ เพราะว่าอิ๊งค์อยู่กับผมตั้งแต่เด็กไง เป็นลูกที่ติดผมตั้งแต่เด็กๆ ผมไปไหนก็เอาไปด้วย เขาก็เลยซึมซับผมโดยไม่รู้ตัว  

..แล้วก็ต้องยอมรับว่า อิ๊งค์เขาได้ดีเอ็นเอผมกับแม่ เขาเข้มแข็งเหมือนแม่ และเป็นคนมีความเป็นผู้นำ มีความกล้า เขาเดินได้สบาย ผมว่าเขาแข็งแรงดีแล้ว จิตใจเขาเข้มแข็งด้วย แล้วก็มีปฏิภาณทางการเมืองดี เพียงแต่ว่าชั่วโมงบินในการรู้จักผู้คน เพื่อจะ handle(รับมือ-ควบคุม-จัดการ) ทางการเมืองยังต้องเพิ่ม คือผู้คนทางการเมืองกับผู้คนทั่วไปตามบริษัทไม่เหมือนกัน การเมืองมันเต็มไปด้วยตนที่มีอีโก้คนละแบบมารวมกัน  

ในหนังสือหน้า91 ในชื่อตอน True Democracy นายทักษิณได้สะท้อนมุมมองผ่านบทสัมภาษณ์ เนื้อหาส่วนสำคัญตอนหนึ่งระบุว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมีกระบวนการยุติธรรม ให้ความเสมอภาคกับประชาชน มันจะทำให้ทุกปัญหาในทุกประเทศถูกแก้ไป สมมุติว่าวันนี้เขาไม่ชอบรัฐบาลชุดนี้ เขาเลือกผิดไปแล้ว คราวหน้าเขาก็ไม่เลือกอีก เพราะมันมีระยะเวลาที่เขาทดลองงาน ทดลองคนอยู่ ซึ่งมันดีกว่าระบบที่มันเปลี่ยนไม่ได้เลย 

อย่างที่รัสเซีย ปูตินก็อาจจะเล่นกับระบบ เหมือนคุณประยุทธ์วันนี้คิดจะเล่นกับระบบเหมือนกัน ถึงแม้ว่า8ปีที่เขากำหนดไว้ ก็ยังพยายามจะตีความว่าไม่นับ ซึ่งเจตนาของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เขามองเห็นผมอยู่ กลัวคนอย่างผมเข้ามาแล้วจะอยู่เกิน8ปี แต่ว่าวันนี้ไปติดล็อกตัวเอง  

รัฐธรรมนูญไทย เวลาร่างขึ้นมาแต่ละฉบับ จะมองดูว่ามีใครอยู่ จะกันใครออก อย่างรัฐธรรมนูญฉบับปี2540 ไม่นับคะแนนที่หน่วย ไปนับคะแนนที่อำเภอ เพราะมองเห็นผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายเข้ามาเล่นการเมือง กลัวว่าจะใช้อิทธิพลก็เลยเอามานับรวมที่อำเภอ เทรวมกันแล้วนับเพื่อจะได้ไม่รู้ว่าแต่ละหน่วยซื้อเสียงได้ผลหรือไม่ได้ผล 

\"ทักษิณ\" เย้ย \"ประยุทธ์\" ผ่านหนังสือ อวย \"อุ๊งอิ๊ง\" ไปได้ในทางการเมือง

ตอนนี้กลับไปนับที่หน่วยเพราะว่าคณะผู้สนับสนุนรัฐบาลเป็นนักซื้อเสียง จะได้รู้เรื่องกันเลย จะได้เอาบัตรเวียนเทียนอะไรได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เขาคิดถึงตัวเองก่อน วางระบบเพื่อตัวเอง ไม่ได้วางระบบเพื่อประเทศ รัฐธรรมนูญของไทยจึงถูกฉีกทิ้งบ่อย  

ทหารคือภัยคุกคามทางประชาธิปไตย เพราะทหารชอบปกครองแต่ประชาธิปไตยเป็นการบริหารมากกว่าปกครอง การปกครองเป็นของชนชั้นนำโบราณ แต่ประชาธิปไตย คนเป็นผู้นำมันถือตัวไม่ได้ จะมาด่าสื่อก็ไม่ได้ 

ทหารเขาโตมาจากสภาพที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ในค่ายทหาร เวลาเข้าไปในสโมสรยังแยกประตูระหว่าง สัญญาบัตร-ชั้นประทวน มันมีชนชั้นอยู่ ตราบใดที่ยังใช้ระบบปกครองแบบเก่าที่มีชั้นวรรณะ มันเป็นประชาธิปไตยไม่ได้หรอก  

ภัยคุกคามอีกประเภทหนึ่งก็คือคนที่ชอบมีผลต่อปัญหาของบ้านเมือง ประเภทคนไร้อาชีพ แต่มาเกาะขั้วอำนาจหากินเป็นเหมือนไม้ค้ำของเผด็จการ พอเผด็จการอยากพัก อยากจะล้ม แต่ไอ้ไม้ค้ำไม่ยอม เพราะไม้ค้ำยังมีรายได้อยู่ สิ่งนี้เป็นกาฝากของประชาธิปไตย  

ไอ้คนที่บอกว่าชอบประชาธิปไตยส่งเสริมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการมาตลอด ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าไปสนับสนุนเผด็จการ ต่อต้านประชาธิปไตย แล้วพูดขึ้นมาเองว่าเผด็จการรัฐสภา มีที่ไหนเผด็จการรัฐสภา รัฐสถามันเป็นไปตามเสียงข้างมากที่ประชาชนกำหนดมา เลือกมา เผด็จการรัฐสภามันไม่มีหรอก บางคนมันประดิษฐ์คำเก่ง แล้วคนก็สนใจกับคำที่ประดิษฐ์ขึ้นมามากกว่าเนื้อหาสาระ  

"ทุกครั้งที่เราชนะ เราไม่เคยกำหนดกติกาเอง อย่างตอนคุณยิ่งลักษณ์ ชนะถล่มทลายตอนนั้น เขาก็แก้กฎหมาย แก้ระเบียบเลือกตั้งก่อนเลือกตั้ง เพื่อหวังว่าจะได้ประโยชน์ให้กับตัวเอง แต่ลืมไปว่าช่วงเวลาที่ตัวเองบริหารอยู่ ประชาชนเขาเจ็บ เขาถึงแสดงออกมาผ่านบัตรเลือกตั้ง  

กติกาเราไม่เคยได้เป็นผู้กำหนดเลย ตั้งแต่ไทยรักไทยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยกำหนดกติกาเอง เล่นในกติกาคนอื่นทั้งนั้น ครั้งนี้เขาก็กำหนดเอง เราไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย เราพร้อมเล่นทุกสนามมากกว่า"นายทักษิณระบุในหนังสือ

\"ทักษิณ\" เย้ย \"ประยุทธ์\" ผ่านหนังสือ อวย \"อุ๊งอิ๊ง\" ไปได้ในทางการเมือง

  • "พจมาน" หวังลึกๆอยากให้ "ทักษิณ" กลับมาเลี้ยงหลาน เคารพการตัดสินใจ "อิ๊ง" ลงเล่นการเมือง  

ขณะที่ในภาคของเนื้อหา Thaksin & Family ตอนเนื้อหา Thaksin’s Reflection ได้มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกในทางการเมือง 

วันแรกที่คุณทักษิณ เข้าสู่การเมืองจนเป็นนายกรัฐมนตรี คุณหญิงและครอบครัวคุยกันอย่างไร  

ครอบครัวก็ต้องดีใจเป็นที่สุดค่ะ และคิดกันว่าท่านคงทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี เพราะชีวิตท่านก็ผ่านความยากลำบากกว่าจะประสบความสำเร็จมาถึงวันนี้ ขณะนั้นที่คิด ท่านคงอยากใช้ความสามารถทั้งหมดมาทำประโยชน์ให้ประเทศ 

ดีใจหรือกังวลถึงความท้าทายที่จะตามมา 

มองเห็นแต่ความกังวลตามที่คุณย่า(คุณแม่ของคุณทักษิณ) เคยเตือนไว้แล้วว่า การมาทำงานการเมืองมีแต่ความเหน็ดเหนื่อย ถูกใส่ร้ายป้ายสีและอื่นๆ อีกมากมาย แต่ที่ห่วงสุดคือสุขภาพของท่าน 

คุณหญิงเคยวิจารณ์คุณทักษิณเรื่องอะไรที่ซีเรียสที่สุด เพราะรักและหวังดีที่สุด 

เคยต่อว่าท่านว่า ท่านเป็นคนทำอะไรจริงจัง งานก็หนัก ความเครียด แรงกดดันก็เยอะมาก ขอให้ท่านดูแลสุขภาพให้ดีไปพร้อมๆกัน 

เรื่องอะไรที่คุณหญิงกับคุณทักษิณผูกพันกันมากที่สุด 

โตมาด้วยกัน เจอกันมาตั้งแต่อายุ15 ท่านอายุ21 ไปเรียนต่างประเทศด้วยกัน ผ่านความลำบากมาด้วยกัน สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยกัน คิดและทำทุกอย่างด้วยกันทั้งหมด จึงผูกพันยาวนาน 

วันแรกที่คุณทักษิณถูกรัฐประหาร ความรู้สึกแรกเป็นอย่างไร  

ตกใจที่สุด เป็นห่วงลูกๆว่าจะปลอดภัยอย่างไร และเราก็ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของรัฐประหารว่าจะลามมาถึงครอบครัวไหม และเราจะต้องตกอยู่ในสภาพไหน 

คุณหญิงและครอบครัวรับมือกันอย่างไร 

รับมือด้วยความนิ่ง และดูความปลอดภัยของลูกๆเป็นหลักในตอนนั้น 

ตอนคุณทักษิณตัดสินใจลี้ภัย ได้คุยอะไรกันบ้าง คุณหญิงบอกอะไรกับคุณทักษิณ 

เห็นด้วยที่จะให้ท่านอยู่เมืองนอกก่อนและให้ลูกๆ ช่วยคุยกับท่านว่า อย่าให้พ่อกลับมาไทย เพราะตอนนั้นท่านอยากกลับประเทศไทย อยากกลับมาสู้คดี เพราะท่านคิดว่าท่านบริสุทธิ์ 

คุณทักษิณเคยบอกว่า เวลาคิดอะไรขอบคิดเงียบๆเก็บไว้คนเดียว คุณหญิงคิดว่าเป็นเพราะอะไร 

ท่านไม่อยากให้ครอบครัวเครียดเลย อันนี้สำคัญที่สุด โดยท่านจะได้ไตร่ตรองจนตกผลึกก่อน แล้วใช้เวลาขับรถไปไกลๆด้วยกัน ค่อยๆเล่าและฟังความคิดค่างๆหรือความคิดเดียวกัน เราทำวิธีนี้ตั้งแต่สมัยเริ่มทำธุรกิจด้วยกันแล้ว การอยู่ด้วยกันสองคนในรถช่วยให้สามารถคุยกันด้วยดี แล้วจบลงได้ เพราะท่านทราบว่า เราคงไม่กระโดดลงกลางทาง(หัวเราะ) 

วันแรกที่คุณอิ๊งค์ตัดสินใจลงการเมืองเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย คุณหญิงและครอบครัวคุยอะไรกันบ้าง 

ลูกก็มาบอกว่ามีความตั้งใจ พอเห็นความตั้งใจของลูกเลยแล้วแต่ลูก เพราะลูกโตแล้ว เราต้องเคารพในการตัดสินใจและไม่อยากให้ลูกกดดัน ก็คอยสนับสนุนให้กำลังใจเขาห่างๆ  

คุณทักษิณให้สัมภาษณ์ว่า เวลามองกระจกแล้วเห็นคุณหญิง รู้สึกสงสารคุณหญิง คิดว่าทำไมคุณทักษิณ ถึงรู้สึกแบบนั้น เพราะอะไร 

(ยิ้ม)ไม่รู้เหมือนกัน เพราะคำพูดที่เคยเตือน แล้วท่านคงจำได้ดี และตอนนี้ท่านคงเข้าใจแล้ว และคงรู้สึกเศร้า และท่านคงอยากจะกลับมาเลี้ยงหลาน เป็นตายาย ปู่ย่า เหมือนครอบครัวปกติ 

เรื่องไหนที่ทำให้คุณหญิงและครอบครัวมีความสุขที่สุด แม้ว่าคุณตาทักษิณจะไม่ได้อยู่ด้วย 

ล่วงเลยมาถึงเวลานี้แล้วก็ขอให้ท่านมีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน 

ในฐานะคุณยาย คุณหญิงฝันอะไร ตั้งความหวังอะไรกับหลานๆ ในวันเวลาที่สังคมไทยมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ค่อนข้างริบหรี่ 

ไม่ได้คาดหวังอะไร อยากให้เขาโตมาร่าเริงแจ่มใส พ่อแม่เขาก็ดูแลกันดีเต็มที่ เพราะคิดว่าเลี้ยงลูกมาอย่างดีแล้ว และลูกก็คงเลี้ยงลูกของตัวเองได้ดีกว่าแน่ แค่อยากเห็นหลานๆเติบโตมาอย่างมีความสุข ร่าเริง สดใสตามวัยกับสุขภาพที่แข็งแรง และรักกัน อย่างอื่นก็ให้เป็นไปตามวันเวลา แต่คุณตาจะได้กลับมาเห็นความเติบโตของหลานหา ก็แอบคิดว่าคงมีสักวัน แน่นอนที่หลานๆทุกคนจะได้อยู่พร้อมหน้ากับคุณตาอันเป็นที่รัก