"ประยุทธ์" โพสต์3ปีจำเป็นออกมาตรโควิด เชื่อจัดเอเปคสร้างชื่อเสียง
นายกฯ โพสต์ จำเป็นออกมาตรสู้โควิด เกือบ 3 ปี ขอบคุณทุกภาคส่วน เชื่อ จัดประชุมเอเปค สร้างชื่อเสียง-ภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยอีกครั้ง ขอประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่าน facebook ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha มีข้อความระบุว่า
เรียนพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาเกือบ 3 ปี ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยเฉพาะการ “ปิดประเทศ” ส่งผลให้รายได้หลักจากการท่องเที่ยวลดลงไปอย่างมาก แต่ก็ทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้เราเริ่มใช้นโยบาย “เปิดประเทศ” อย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจาก “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ที่ประสบความสำเร็จอย่างดี จนขยายออกไปยังพื้นที่อื่นๆ และมาสู่การเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในปัจจุบัน ส่งผลให้การขับเคลื่อน การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เดินหน้าได้อย่างเต็มกำลัง และผมมีความยินดีที่ได้รับรายงานว่าท่ามกลางวิกฤตพลังงานของโลก นโยบายเปิดประเทศของรัฐบาล ยังคงสามารถสร้างรายได้ การค้า การลงทุน ได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จาก 2 ด้านหลัก คือการขยายตัวของการลงทุนจากต่างประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ดังนี้
1. การขยายตัวของการลงทุนจากต่างประเทศ จากการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และการเจรจาทางการค้าของผมในฐานะนายกรัฐมนตรี รวมทั้งคณะรัฐบาล ส่งผลให้ 7 เดือนแรกของปี 65 มีต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย จำนวน 323 ราย โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และจีน ตามลำดับ มูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 73,635 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC มีเงินลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้นกว่า 3,000 คน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 ในช่วงเดือนเดียวกัน พบว่า มีการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเกือบ 28,925 ล้านบาท
ซึ่งการขยายตัวการลงทุนอย่างมากในปีนี้ มีปัจจัยสำคัญมาจาก
1. นโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ การสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก
3. การอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อรองรับ และจูงใจการลงทุนจากต่างชาติ
4. การดำเนินงานระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านคมนาคมขนส่ง และสาธารณูปโภค ให้แล้วเสร็จตามแผน และพร้อมรองรับการเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
2. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
โดยตั้งแต่ 1 ม.ค. – 25 ก.ย. ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 5.8 ล้านคน มีอัตราการเดินทางเข้ามาเฉลี่ย 46,000 คนต่อวัน หรือประมาณเดือนละเกือบ 1.5 ล้านคน ทำให้เชื่อได้ว่าธุรกิจการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวแบบ “V-Shape” คือกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ High Season ในช่วงปลายปีนี้ น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยตามเป้าหมาย 10 ล้านคน
โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยตั้งแต่ช่วงการเปิดประเทศ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง มีการใช้จ่ายเฉลี่ยถึง 55,000 บาท ต่อคน (ในช่วงไตรมาสที่ 1 สูงถึง 77,000 บาท เนื่องมาจากการพักค้างระยะยาว) ทำให้อัตราเข้าพักโรงแรมต่างๆ เริ่มฟื้นตัวตามจำนวนนักท่องเที่ยว รวมถึงการขยายสิทธิเราเที่ยวด้วยกันของนักท่องเที่ยวในประเทศ ส่งผลถึงสัดส่วนการจ้างงานเพิ่มขึ้น 75%
นอกจากนั้น อีกหนึ่งโครงการของรัฐบาล ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้เข้าประเทศ นั่นคือมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ตั้งแต่เริ่มโครงการ มีภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยแล้ว 43 เรื่อง เกิดรายได้หมุนเวียนในเศรษฐกิจประมาณ 8,560 ล้านบาท ซึ่งเป็นมาตรการที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศและคุ้มค่า โดยเงินลงทุนสร้างภาพยนตร์ทั้งหมดได้กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำทั่วประเทศ และเป็นการสนับสนุน Soft Power ของไทยต่อชาวโลกอีกด้วย
ปัจจัยทั้งสองประการ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆของรัฐ และการควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ และนโยบายช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาค่าครองชีพ ทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้ 11 เดือนของปีงบประมาณ 65 (ต.ค. 64 -ส.ค. 65) ได้มากถึง 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าประมาณการถึง 117,898 ล้านบาท หรือ 5.5% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.8% ซึ่งผลการจัดเก็บรายได้แสดงถึงสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น การกำหนดนโยบายที่สอดคล้อง สอดรับกับสถานการณ์ รวมทั้งตัวเลขการบริโภคและการท่องเที่ยวของไทยที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จากนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล
ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคน เจ้าหน้าที่ภาครัฐและเอกชน องค์กรธุรกิจเอกชนทุกขนาด ที่ร่วมแรงร่วมใจกัน จนเราผ่านพ้นวิกฤตหลายครั้งมาได้ และเดินหน้าพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ในเดือนหน้า เรามีงานใหญ่และสำคัญอย่างยิ่ง
นั่นคือการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ที่จะสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยอีกครั้ง ในการต้อนรับผู้นำประเทศชั้นนำทั่วโลกสู่สยามเมืองยิ้ม ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าเราจะดำเนินภารกิจนี้ได้สำเร็จลุล่วง ด้วยความร่วมมือของพี่น้องประชาชนทุกคนในการเป็นเจ้าบ้านที่น่าประทับใจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาอย่างแน่นอนครับ