ไส้ในมันจีทูจี “อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์” วัดใจ ป.ป.ช. ปักหลัง “นักเลือกตั้ง”
จุดเชื่อมโยงของคดีขายมันจีทูจี 2 ยุคดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วง “มนัส สร้อยพลอย” ผงาดขึ้นมาในกระทรวงพาณิชย์ ที่น่าสนใจคดีขายมันจีทูจียุค “อภิสิทธิ์” ปรากฏชื่อ “เดอะตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตกเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาด้วย
นอกเหนือจากคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่กำลังงวดเข้าไปทุกขณะ จ่อคอหอยบรรดา “นักเลือกตั้ง” ทั้งหลายอยู่ในตอนนี้
ยังมีคดีการซื้อขายแบบจีทูจีอีก 2 คดี ที่สรุปสำนวนการไต่สวนเสร็จสิ้น และเตรียมเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในเร็วๆ นี้เช่นกัน
นั่นคือกรณีการซื้อขายมันสำปะหลังจีทูจีในยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และการซื้อขายมันเส้นจีทูจียุครัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
โดยในการซื้อขายมันสำปะหลังแบบจีทูจีของรัฐบาลทั้ง 2 ยุค แทบจะมีความคล้ายคลึงกันกับกรณีระบายข้าวจีทูจีอย่างมาก เนื่องจากมีตัวละครบางตัวเป็น “คีย์แมน” เดินงานเหมือนกัน
เริ่มจากการซื้อขายมันสำปะหลังจีทูจี เกิดขึ้นในช่วงปี 2553 สมัยรัฐบาล “อภิสิทธิ์” ถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ร่วมกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ส่งเรื่องมาให้กับ ป.ป.ช. เป็นผู้ตรวจสอบ
ในรายงานผลการสอบสวนการซื้อขายมันสำปะหลังจีทูจี ระหว่าง กรมการค้าต่างประเทศ กับ บริษัท China Marine Shipping Agency Lianyungang Co.,Ltd ตัวแทนจากจีน จำนวน 1.4 แสนตัน วงเงินรวม 1,460 ล้านบาท ในยุคที่นางพรทิวา นาคาศัย ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2553 ที่ สตง. นำส่งไปให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เพื่อรับทราบ และสั่งดำเนินคดีทางอาญาและวินัย กับนายมนัส สร้อยพลอย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
สรุปพฤติการณ์ความผิดว่า การซื้อขายแป้งมันสำปะหลังกับบริษัท China Marine Shipping Agency Lianyungang Co., Ltd ขายในราคาต่ำกว่าเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวมถึงบริษัท China Marine ยังไม่ได้รับการมอบอำนาจจากประเทศจีน และวัตถุประสงค์ของบริษัทไม่ใช่การซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จึงถือว่าไม่ใช่บริษัทที่มีอำนาจลงนามทำสัญญาในนามของประเทศจีนแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีการ “โอนสิทธิ์” ดังกล่าวไปให้กับบริษัทเอกชนประเทศไทยอย่างน้อย 3 แห่ง เข้ามาดำเนินการซื้อขายแป้งมันสำปะหลังแทนอีกด้วย
ผู้แทนเอกชนทั้ง 3 ราย เข้าให้การกับ สตง. พร้อมหลักฐานการส่งออกมันสำปะหลังในรูปแบบ “แป้งมัน” และแคชเชียร์เช็คการจ่ายเงินให้แก่ China Marine ปรากฏข้อเท็จจริงตรงกันว่า ทั้ง 3 บริษัท ได้ซื้อแป้งมันสำปะหลังจาก บริษัท China Marine โดยนำเงินตามสัดส่วนของแต่ละบริษัท จ่ายให้แก่ บริษัท China Marine เพื่อนำไปจ่ายให้กับกรมการค้าต่างประเทศเป็นค่าซื้อแป้งมันสำปะหลัง
จากนั้น บริษัท China Marine ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทั้ง 3 บริษัท นำไปใช้เป็นหลักฐานเพื่อรับแป้งมันจาก อคส. และเมื่อได้รับสินค้าแล้ว บริษัทแต่ละแห่งจะนำสินค้ากลับมาที่โรงงานเพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงคุณภาพจากนั้นนำไปบรรจุถุงใหม่และส่งออกในนามของแต่ละบริษัทเอง โดยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการขนส่ง ส่งออก และปรับปรุงคุณภาพแป้งมัน แต่ละบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของตนเอง ไม่เกี่ยวข้องกับ บริษัท China Marine แต่อย่างใด
ลักษณะดังกล่าวจึงอาจเข้าข่ายเป็นการซื้อขายแบบ “จีทูจีเก๊” ป.ป.ช.จึงตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยมี “กระบี่มือหนึ่ง” วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ขณะนั้น เป็นเจ้าของสำนวน มีการเปิดชื่อผู้ถูกกล่าวหารวม 46 ราย “อภิสิทธิ์” และ ครม.ทั้งคณะ ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 32 ราย ที่เหลือเป็นคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังอีก 14 ราย
ผ่านมาราว 12 ปี มีการเปลี่ยนตัวกรรมการ ป.ป.ช.เจ้าของสำนวนไปหลายราย จนคดีนี้ใกล้เสร็จสิ้น มีการสรุปสำนวนเตรียมนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่แล้ว
ถัดมาคดีมันเส้นจีทูจีรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กรณีการซื้อขายมันสำปะหลัง (มันเส้น) ในรูปแบบสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าในสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการทำสัญญา ซื้อขายมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จำนวนรวม 7 สัญญา ปริมาณรวม 4,790,000 ตัน จำนวนเงินรวม 30,642,500,000 บาท
อย่างไรก็ดี บริษัทที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขายกับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะตัวแทนของราชอาณาจักรไทย ไม่ใช่บริษัทที่ได้รับมอบหมายหรือรับมอบอำนาจจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้เข้ามาทำสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยการกระทำนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะเอื้ออำนวยหรือช่วยเหลือให้บริษัทดังกล่าวได้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายหรือหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ประกอบกับการพิจารณาให้ความเห็นชอบในเรื่องของราคาที่ซื้อขาย
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ได้ให้ความเห็นชอบในราคาตามข้อเสนอของบริษัท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าข้อเสนอของฝ่ายไทย เว้นแต่สัญญาที่ 2/2013 ซึ่งเสนอราคาเท่ากันทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายจีน การกระทำดังกล่าวจึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และประเทศชาติอย่างร้ายแรง
คดีนี้มีการกล่าวหาตัวละครหน้าเดิม ๆ เช่น “บุญทรง เตริยาภิรมย์” เมื่อครั้งนั่ง รมว.พาณิชย์ กับพวกรวม 31 ราย ไม่ว่าจะเป็น “หมอโด่ง” วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ คีย์แมนคดีข้าวจีทูจี “มนัส สร้อยพลอย” อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ “สุธี เชื่อมไธสง-ลิตร พอใจ-สมคิด เอื้อนสุภา” เครือข่ายคนใกล้ชิด “เสี่ยเปี๋ยง” อภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตพ่อค้าข้าวที่ถูกจำคุกคดีข้าวจีทูจี เป็นต้น
คดีมันเส้นยุค “ยิ่งลักษณ์” ถูกตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนช่วงปี 2558 โดยมอบหมาย “สุภา ปิยะจิตติ” เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวน ผ่านมา 7 ปีเศษคดีนี้ทำเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน และเตรียมนำเสนอที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ชี้ขาด
จุดเชื่อมโยงของคดีขายมันจีทูจี 2 ยุคดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วง “มนัส สร้อยพลอย” ผงาดขึ้นมาในกระทรวงพาณิชย์
ที่น่าสนใจคดีขายมันจีทูจียุค “อภิสิทธิ์” ปรากฏชื่อ “เดอะตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สมัยเป็น รมว.ยุติธรรม ปัจจุบันมาก่อร่างสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ ตกเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาด้วย
แต่ก็มีชื่ออย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยเป็น รมว.กลาโหม “สุเทพ เทือกสุบรรณ” สมัยเป็นรองนายกฯ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” สมัยเป็นรองนายกฯ ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาเช่นเดียวกัน
บทสรุปสุดท้ายทั้ง 2 คดีจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางปี่กลองการเมืองโหมโรง โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดยังอยู่ระหว่างชั้นพิจารณาของ ป.ป.ช. มีสิทธิต่อสู้คดีอีกในชั้นอัยการและชั้นศาล จึงยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด