เบื้องลึกศึกชิง"เลขาฯพรรค” เปิดเกมส่งทีมดัน“ประยุทธ์”ได้
“บิ๊กเนม” รายนี้ ต้องเดินสายรวบรวมไพร่พล เร่งเดินเกมเร็วแรงเป็นพิเศษ เพราะรู้ดีว่า การนั่งเก้าอี้ "เลขาฯพรรค" ย่อมมีบทบาทในการบริหารจัดการในพรรคได้มากกว่า อีกทั้ง ยังการันตีตำแหน่งรัฐมนตรี หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่เปิดตัวเข้าสังกัดพรรคใหม่อย่างเป็นทางการ แต่ในทางการเมืองคอนเฟิร์มตรงกันว่า นายกฯประยุทธ์ มูฟออนจากใต้ร่มเงาของ พี่ใหญ่ 3 ป. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เป็นการสิ้นสุดทางเลือกสำหรับพรรคพลังประชารัฐไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่วัน ว. เวลา น.ที่จะประกาศตัวเป็นสมาชิกและเข้าร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ อย่างเป็นทางการเท่านั้น
เช่นเดียวกับองคาพยพ ที่จะไหลตามมาจาก"พลังประชารัฐ" ทั้ง ส.ส. ผู้สมัคร ส.ส.เกรดเอ กลุ่มบ้านใหญ่ ที่พร้อมพาเหรดมารวมตัวกันที่พรรค"รวมไทยสร้างชาติ" แต่มีกระแสข่าวว่า “บิ๊กเนม รทสช.” อาจจะต้องคัดเกรดผู้สมัคร ส.ส.พอสมควร
เนื่องจาก ส.ส.พลังประชารัฐหลายคน จัดอยู่ในประเภท “นกแล” ไม่มีพื้นที่ของตัวเอง ต้องอาศัยกระแส “นายกฯประยุทธ์” ทำให้ชนะการเลือกตั้งปี 2562
โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ที่ ส.ส.พลังประชารัฐ หลายคนฐานเสียงของตัวเองไม่เหนียวแน่นพอ มีโอกาสถูก “อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์” ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้า รทสช. เบียดแย่งพื้นที่ไปได้
ล่าสุด มีกระแสข่าวว่า ส.ส.ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ 14 คน ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเพียง 2-3 คนเท่านั้น ที่เหลือชื่อไม่ผ่านเกณฑ์ เนื่องจากไม่ได้ทำพื้นที่ หลังได้ตำแหน่ง ส.ส.
ส่วนอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ หากมาลงในนามรวมไทยสร้างชาติ โดยมีกระแสของ “นายกฯประยุทธ์” คอยเกื้อหนุน ย่อมมีโอกาสชนะการเลือกตั้งมากกว่า
ขณะเดียวกัน นายกฯประยุทธ์ - รทสช. ยังรอ “กลุ่มบ้านใหญ่” ที่จะเข้ามาเป็นแบ็คอัพเพิ่มจำนวน ส.ส. โดยเฉพาะ "กลุ่มสามมิตร" ที่จะประกาศความชัดเจนในช่วงกลางเดือน ม.ค.2566 แต่สัญญาณจากกลุ่มนี้ อาจจะไม่ได้ยกขบวนไปด้วยกันทั้งหมด
สำหรับ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม ค่อนข้างให้น้ำหนักกับการเลือกอยู่ข้างพรรคใหม่
ส่วน "บ้านใหญ่" กลุ่มอื่น จะทยอยเปิดตัว ด้วยการเปิดบ้านให้ นายกฯประยุทธ์ ลงพื้นที่
โดยในวันนี้ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง แม้จะนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แต่ไม่ถูกจัดให้อยู่ใน “ทีมบ้านป่ารอยต่อ” แต่ว่ากันว่า บ้านใหญ่เพชรบูรณ์ เทใจให้ “ทีมตึกไทยคู่ฟ้า” มานานแล้ว
ทว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการรุกคืบของ “บิ๊กเนมพลังประชารัฐ” ที่แข็งข้อ เตรียมตีจาก “บ้านใหญ่แดนบูรพา"
หลังจากสร้างเนื้อสร้างตัว จนมีขุมกำลังของตัวเองพอประมาณ จึงได้ยื่นข้อเสนอว่า หากยกทีมมาช่วยหนุนนายกฯ ลุงตู่ ไปสู่เก้าอี้นายกฯอีกรอบ จำเป็นต้องนั่งเก้าอี้ "เลขาธิการพรรค" ในการขับเคลื่อนการเมือง
โดย “บิ๊กเนม” บ้านใหม่รายนี้ ส่งรายชื่อ ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เกรดเอ ที่ระบุว่าอยู่ในความดูแลของตัวเองราวๆ 20-30 คน ที่พร้อมสนับสนุนนายกฯลุงตู่ แต่เมื่อผู้บริหารพรรค มีการไล่รีเช็ครายชื่อทั้งหมด พบว่ามี ส.ส.จริงอยู่เพียง 7 คน และใน 7 คนนี้ ยังไม่ชัวร์ว่า จะสามารถกลับมานั่งเก้าอี้ ส.ส.ได้อีกหรือไม่
อีกด้านหนึ่ง “บิ๊กเนม”รายดังกล่าว ยังเดินหน้าเปิดดีลกับ ส.ส.พลังประชารัฐ ขอรับเป็นเจ้าภาพ หากย้ายมาร่วมชายคาเดียวกัน โดยมีการเกทับเรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง”ว่า หากย้ายมาจะจ่ายให้คูณสอง มากกว่าพรรคเก่า
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความจำเป็นที่ “บิ๊กเนม” รายนี้ ต้องเดินสายรวบรวมไพร่พล เร่งเดินเกมเร็วแรงเป็นพิเศษ เพราะรู้ดีว่า การนั่งเก้าอี้ "เลขาธิการพรรค" ย่อมมีบทบาทในการบริหารจัดการในพรรคได้มากกว่า อีกทั้ง ยังการันตีตำแหน่งรัฐมนตรี หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ทว่า ในวงนักการเมืองรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ที่ไหลมารวมกัน ย่อมมีกลุ่มมีก๊วน จึงทำให้เกิดแรงต้านภายใน เพราะตำแหน่งเลขาธิการพรรค รทสช. นอกจากจะต้องประสานกลุ่มก้อนจากพรรคพลังประชารัฐแล้ว ยังต้องมีคอนเนคชั่นกับ ส.ส. - อดีต ส.ส.จากค่ายประชาธิปัตย์ ที่จะมาผนึกกำลังกันด้วย
ทำให้ นายกฯประยุทธ์ และคณะผู้ก่อการ ยังไม่คิดจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้จัดการพรรคให้เกิดแรงกระเพื่อม ตั้งแต่ยังไม่เริ่มก้าวแรก