“ประยุทธ์”ขอคนไทยสามัคคีไม่แตกแยก-ลั่นไม่ใช่ศัตรูใคร

“ประยุทธ์”ขอคนไทยสามัคคีไม่แตกแยก-ลั่นไม่ใช่ศัตรูใคร

“ประยุทธ์”ขอคนไทยสามัคคีไม่แตกแยก-ลั่นไม่ใช่ศัตรูใคร อารมณ์ดีอยากเห็นคนไทยยิ้มทั้งประเทศ ไม่ปลูกฝังความเกลียดชัง เล็งลงพื้นที่ในนามนายกฯ เพื่อติดตามงาน ปัดไม่ใช่การเมือง

วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม เดินทางพร้อมคณะ อาทิ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไปยังจ.เพชรบูรณ์ โดยเมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานเพชรบูรณ์ อ.หล่มสัก ได้มีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และนายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี รอต้อนรับ

โดย พล.อ.ประยุทธ์ และคณะเดินทางไปสักการะพระพุทธมหาธรรมราชา ณ พุทธอุทยานเพชรบุระ อ.เมืองเพชรบูรณ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสเดินทางมาปฏิบัติราชการ ณ จ.เพชรบูรณ์ โดยมีทีมนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ให้การต้อนรับ ขณะที่ประชาชนที่มาสักการะ พระพุทธมหาธรรมราชา ได้ให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ให้นายกฯ สู้ๆ พร้อมกับ ขอกอดและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

จากนั้นนายกฯ ได้สักการะพระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดเพชรบูรณ์ องค์พระเนื้อโลหะหล่อด้วยทองเหลืองบริสุทธิ์  มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมติดตามโครงการแก้มลิงที่ผันน้ำจากแม่น้ำป่าสัก บริเวณด้านหลังพุทธอุทยานเพชรบุระ ซึ่งเป็นพื้นที่รองรับน้ำของจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเพื่อช่วยป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์อย่างเป็นรูปธรรม 
 

จากนั้น นายกรัฐมนตรี เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นประธานในพิธี KICK OFF มาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/2566  พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณทุกคน วันนี้ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นจากผู้นำหลายกลุ่มด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร ประชาชนชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ มา จ.เพชรบูรณ์ หลายครั้งไม่เคยผิดหวัง ทุกคนมีความรักความสามัคคีกันดีมากๆ ขอบคุณทุกท่านด้วยใจจริง  

“ยินดีที่ได้มาพบเกษตรกรผู้ปลูกข้าวชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ และได้ไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์มาแล้วด้วยความสบายใจและขอพรให้ประเทศชาติ ประชาชนทั้งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  ซึ่งเป็นคติพจน์ในใจของตนตลอดมา” นายกรัฐมนตรี กล่าว 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้มาในนามของนายกฯ หัวหน้ารัฐบาลและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ย้ำว่ามาในนามรัฐบาล และทุกโครงการทุกเรื่องเป็นคนนำเข้า ครม.และพิจารณาร่วมมือกันในการอนุมัติ และพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน เป็นรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบด้วยในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทั้งหมด สิ่งที่ต้องการคือความเข้าใจระหว่างกัน 

“ยินดีที่ได้มาพบปะเกษตรกรและได้มามอบเงินให้เกษตรกรชาวนาในโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/2566 ตลอดจนมาตรการคู่ขนาน เพื่อจะเป็นกำลังใจให้เกษตรกรในการรักษาเสถียรภาพในเรื่องราคาข้าว เพื่อมีรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 
 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะไม่ขอพูดตามที่ได้มีการเตรียมคำกล่าวเอาไว้ให้ แต่จะพูดในสิ่งที่คิดและทำ รวมถึงสิ่งที่พยายามเดินหน้ามาโดยตลอด ทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากมายโดยเฉพาะการเกษตร เราเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก แต่ก็ต้องพัฒนาปรับปรุง ซึ่งจะต้องบริหารจัดการให้ไทยเป็นผู้นำการผลิต และการตลาดข้าวและรวมถึงผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก

นายกฯ กล่าวว่า จะทำอะไรก็ตามจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย แม้กระทั่งการประกอบการของบริษัทและห้างร้าน จะต้องคำนึงถึงผู้บริโภค ตลาดและสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศ เพราะปีนี้สังเกตดูแล้วจะเห็นว่าอะไรเปลี่ยนไปโดยเฉพาะสภาพอากาศหน้านี้เป็นฤดูหนาว แต่ฝนก็ตกบ่อย มีร่องความกดอากาศมรสุมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และต่างประเทศก็ได้รับผลจากภัยพิบัติมากขึ้น ทั้งดินถล่ม แผ่นดินไหว และสึนามิ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในหลายกับประเทศแม้กระทั่งในอาเซียน 

โดยเมื่อย้อนกลับมาดูที่ประเทศไทยเรา บ้านเราจะไม่เจอแบบนั้น เพราะเป็นพื้นที่การเกษตร เราไม่มีภูเขาไฟ เราเป็นแผ่นดินแห่งความร่มเย็น และสงบสุขเหมาะกับการเกษตร แต่จะทำการเกษตรอย่างไรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน จะต้องคิดให้ไกลกว่าเดิม ซึ่งปัญหาการเกษตรวันนี้อยู่ที่ราคาเป็นหลัก จึงต้องย้อนกลับมาดูว่าจะทำอย่างไร ให้มีการใช้ต้นทุนน้อยที่สุด แต่ถ้าใช้กลไกเดิมเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ทั้งปุ๋ย ยาและสารเคมี ค่าจ้างไถ่ งานทุกอย่างเป็นต้นทุนทั้งสิ้น พอขายทำให้ได้ราคาไม่มาก จึงต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้ตนได้พูดคุยในที่ประชุมเอเปค

“ประยุทธ์”ขอคนไทยสามัคคีไม่แตกแยก-ลั่นไม่ใช่ศัตรูใคร

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งแรกที่อยากจะบอก คือจงภูมิใจในพื้นแผ่นดินไทยให้มากที่สุด เป็นดินแดนแห่งความสุขสงบและสันติใต้ร่มพระบารมี พระบรมมาโพธิสมภาร และอยู่ในร่มเงาของศาสนาทุกศาสนาที่อยู่ร่วมกันได้ คนไทยแตกแยกกันไม่ได้ ถ้าแตกแยกกันเมื่อไหร่ศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันที่มีอยู่จะหมดไปทันที ฉะนั้นสิ่งสำคัญต้องเริ่มจากตัวเราไปสู่ชุมชนและสังคมและไปถึงระดับประเทศ ต้องรักกัน นั่นคือประเด็นที่สำคัญที่สุด

“รัฐบาลไม่ว่าจะใคร ไม่ว่าจะผมหรือใครก็ตามก็ต้องทำให้สิ่งเหล่านี้เข้มแข็งขึ้น เติบโตขึ้น รวมพลังให้มากยิ่งขึ้น เดินหน้าประเทศต่อไป เรา ทำแบบเดิมทั้งหมดไม่ได้อยู่แล้ว ก็คาดหวังว่าที่ทำให้ได้ในวันนี้นั้นจะเป็นพื้นฐาน และเป็นแนวทาง มีอะไรที่ดีกว่านี้ไปเรื่อยๆ วันนี้พูดเฉพาะข้าว แต่ต้องไปดูแลพืชถึง 6 ชนิด ซึ่งใช้งบประมาณมากขึ้นทุกปี วันนี้โชคดีที่ยังอยู่ในกรอบและราคาข้าวสูงขึ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นอกจากเกษตรกรแล้วยังมีธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องดูแล เข้าใจในความลำบาก ประชาชนลำบาก ตนก็ยิ่งลำบากกว่า แต่อาจจะไม่ลำบาก เหนื่อยกาย เหนื่อยใจเท่า แต่เหนื่อยตรงที่จะแก้ปัญหาให้อย่างไรนั่น คือหัวใจของคนที่เป็นรัฐบาล จะต้องนึกถึงประชาชนให้ได้มากที่สุดและหาวิธีการที่จะทำให้ได้ แต่จะได้มากได้น้อยต้องเข้าใจกัน 

“อยากให้ทุกคนยิ้มแบบนี้ทั้งประเทศ จะทุกข์จะสุขก็ยิ้มให้กัน ยิ้มแย้มแจ่มใสความทุกข์เก็บไว้แล้วค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ระบาย แต่ถ้าระบายออกด้วยความเกลียดชังซึ่งกันและกัน มันไม่มีอะไรจะดีขึ้น นอกจากปลูกฝังความเกลียดชังไปเรื่อยๆ และเราก็ทรมาน ยืนยันว่าผมไม่ใช่ศัตรูกับใครทั้งสิ้น ทั้งนี้ ทุกอย่างที่พูดไปเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของผม ตั้งแต่มาเป็นนายกฯ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้และคงอยู่ไปอีกนาน” นายกรัฐมนตรี กล่าว  

ก่อนที่ชาวบ้านจะปรบมือและส่งเสียง จึงทำให้นายกรัฐมนตรีกล่าวขึ้นว่า “อย่าไปตีความผิดว่าผมจะอยู่อีกนาน เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก ทำงานจนลืมวัน เดือน ปี นาฬิกาไม่เคยดู”

“ประยุทธ์”ขอคนไทยสามัคคีไม่แตกแยก-ลั่นไม่ใช่ศัตรูใคร

นายกฯ กล่าวต่อว่า วันข้างหน้าต้องไปคิดต่อว่าจะทำอย่างไรถ้าเราแตกแยกกันไปเรื่อยๆ มากขึ้นแล้วจะได้ข้อยุติอะไร จึงต้องไปแก้ปัญหาที่ความยากจน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ และเงินทั้งหมดไม่ใช่เงินของตนหรือธนาคาร แต่เป็นเงินของประชาชน รัฐบาลต้องมารับผิดชอบเงินงบประมาณก้อนนี้อยู่ดี เพราะต้องใช้หนี้ธนาคาร 

อย่างไรก็ตาม วันนี้ที่มา มาเพื่อให้เห็นหน้าเห็นตาและทำสัญญาใจว่าเราจะช่วยกัน ช่วยกันให้ได้ในเรื่องที่ทำให้ประเทศเติบโตและปลอดภัย เป็นประเทศที่มีสุขภาพจิตที่ดี จะต้องใช้เวลาไม่ใช่ 1 ปี หรือ 2 ปี ที่ตนอยู่มาวันนี้หลายปีก็ทำอะไรได้เยอะพอสมควร นี่ไม่ได้พูดว่าอยากหรือไม่อยากอยู่อะไรทั้งสิ้น ไม่เกี่ยว เดี๋ยวจะตีความกันผิดอีก สุขก็ยิ้ม ทุกข์ก็ยิ้มและที่ตนยิ้มอยู่ในใจก็ร้อนอยู่

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ทุกภาคส่วนขอให้รวมพลังกันให้ได้ ถ้าทุกคนประท้วงกันไปมาก็ไม่ได้อะไร เพราะมีหลายคนบอกว่าถ้าประท้วงก็อาจจะได้ แต่ถ้าผิดกฎหมายก็มีปัญหา ซึ่งตนอยากให้ทั้งหมดแต่ผิดทุกอัน แต่ผิดกฎหมาย  โกรธเคืองกันไม่ได้อะไรขึ้นมา แบ่งพวก แบ่งฝ่ายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแบ่งสีแบ่งสันพอได้แล้ว

ทั้งนี้ นายกฯ ย้อนถามประชาชนว่า ที่ตนได้พูดไปเข้าใจบ้างหรือไม่  พร้อมพูดอ้อนว่า “และเห็นใจกันบ้างไหมจ๊ะ” จากนั้นนายกฯ กล่าวว่า “ต่างคนก็ต่างเห็นใจกัน” 

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้โลกกำลังเจริญเติบโต ไปถึงเรื่องดิจิทัล แต่ก่อนเราไม่มีโทรศัพท์ใช้ วันนี้มี ขอให้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็แล้วกัน อย่าไปใช้สร้างความเกลียดชัง อย่าไปใช้เพราะถูกเขาหลอก ถ้าเบอร์โทรศัพท์ไหนโทรเข้ามาไม่ขึ้นทะเบียนอย่าไปรับ เหมือนตนเองถ้าไม่มีชื่อก็ไม่รับ เพราะไม่รู้ว่าใครโทรมา การทุจริตเกิดขึ้นง่ายข้อมูลหลุดไปก็เดือดร้อน ประเภทชักชวนทางออนไลน์ไม่จำเป็นอย่าไปเปิด ซึ่งเรื่องนี้ก็พยายามปิดอยู่แต่จะทำอย่างไรเพราะต้องใช้คำสั่งศาล และเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่บ่น

“ประยุทธ์”ขอคนไทยสามัคคีไม่แตกแยก-ลั่นไม่ใช่ศัตรูใคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายกฯ เป็นประธานในพิธีเสร็จสิ้น ได้เดินสอบถามสารทุกข์สุกดิบของประชาชนที่มาร่วมกิจกรรม โดยประชาชนบางคนถึงขั้นเข้ามาสวมกอด และร้องไห้ดีใจที่เจอนายกฯ และได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ขณะที่บางคนจะลงกราบที่เท้า แต่นายกฯ ได้ห้ามไว้พร้อมระบุว่า “ไม่ต้องทำแบบนี้“

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าการลงพื้นที่ของนายกฯ ครั้งนี้ แม้จะมีการรักษาความปลอดภัย ทั้งทีมทหารและตำรวจ แต่ไม่ได้เข้มงวดเหมือนกับการลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ โดยประชาชนสามารถเข้ามาใกล้ชิดสวมกอดนายกฯ เดินตามขอถ่ายภาพและเข้ามาร้องความทุกข์ ความต้องการต่อนายกฯ โดยตรงได้แบบประชิดตัว จากนั้นนายกเดินทางกลับกรุงเทพฯ

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับถึง กทม. ถึงการลงพื้นที่ครั้งต่อไป ว่า ขึ้นอยู่กับพื้นที่ว่าจะเชิญ จะไปในนามนายกรัฐมนตรี ไปติดตามงาน อย่ามองว่าทุกอย่างเป็นการเมืองไปหมดเลย

เมื่อถามว่า การลงพื้นที่วันนี้มีประชาชนเข้ามาโอบกอด ดีใจที่ได้เจอนายกฯ อย่างนี้จะเป็นกำลังใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ก็เพราะเป็นนายกฯ ไง อื่นค่อยว่ากันอีกที”

เมื่อถามต่อว่า สามทหารเสือ (นายสุชาติ นายชัยวุฒิ  นายสันติ ) วันนี้จะไปกับนายกฯ หรือไม่ นายกรัฐมนตรีถามกลับสื่อว่า “ใครหรือ ก็ไม่รู้ ถามท่านดูสิ”

เมื่อถามอีกว่า วันนี้ประชาชนโอบกอดแล้วทำให้นายกฯ มีกำลังใจ อยากจะอยู่ต่อเพื่อบริหารประเทศหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่ใช่อยาก อย่าใช้คำว่าอยากอยู่ต่อ ไม่ใช่อยาก”