อสส.ชี้ขาดแล้ว! สั่งฟ้อง “ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ” คดีจาบจ้วงปลุกม็อบปี 63

อสส.ชี้ขาดแล้ว! สั่งฟ้อง “ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ” คดีจาบจ้วงปลุกม็อบปี 63

อัยการสูงสุดชี้ขาดสั่งฟ้อง “ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์” ผิดตามมาตรา 116 หลังโดน “อดีตพุทธอิสระ” แจ้งความปมอภิปรายจาบจ้วงยุงยง ปลุกปั่นประชาชนออกมาก่อม็อบปี 63

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2565 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงข่าวอัยการสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดสั่งฟ้อง คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญามีคำสั่งฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า เป็นผู้ต้องหาที่ 1-3 กระทำความผิดข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ว่าตามที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 1702/2563 ของ สน.พญาไท มีนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพุทธอิสระ เป็นผู้กล่าวหา

นายโกศลวัฒน์ กล่าวว่า เดิมคดีนี้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งทางคดีดังนี้สั่งไม่ฟ้อง นายธนาธร ผู้ต้องหาที่ 1 นายปิยบุตร ผู้ต้องหาที่ 2 น.ส.พรรณิการ์ ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 116 (3) แล้วจึงส่งสำนวนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/ 1 ซึ่งภายหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีความเห็นแย้งว่ายังไม่อาจเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 – 3 ในความผิดตามข้อกล่าวหา แล้วส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาชี้ขาด ความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 วรรคสอง

โดยคดีนี้อัยการสูงสุด ได้พิจารณาคดีดังกล่าวแล้วได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องนายธนาธร นายปิยบุตร และน.ส.พรรณิการ์ ฐานร่วมกันล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเบิดกฎหมายแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2, 6, 34, 49 และ 50 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 116 (2), (3)

นายธรัมพ์ กล่าวอีกว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้ง โดยชี้ขาดให้ฟ้องคดีเพราะมองพฤติกรรมการกระทำต่างๆของผู้ถูกกล่าวหาแล้วเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 116 คือ แสดงความเห็นด้วยวาจา หนังสือให้ปรากฎในหมู่ประชาชน ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในราชอาณาจักรแล้วทำให้มีการล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ทั้งจากคำปราศรัย และการแสดงความคิดเห็นทางสื่อออนไลน์ต่างๆ แต่ไม่มีข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เรื่องจากไม่มีการเเจ้งข้อหามาเเต่เเรก อย่างไรก็ตามคดีนี้มีพิจารณามาตั้งแต่สมัยอัยการสูงสุดคนก่อน ๆ แต่เพิ่งมีคำสั่งชี้ขาดในสมัย อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ขั้นตอนหลังจากนี้จะแจ้งคำสั่งชี้ขาดของอัยการสูงสุดไปยังพนักงานสอบสวนสน.พญาไท เพื่อตามตัวและนัดหมายนายธนาธร มารับทราบข้อกล่าวหาและยื่นฟ้องต่อศาลอาญาต่อไป

สำหรับคดีนี้ นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธอิสระ ได้เเจ้งความช่วง ต.ค. 2563 กับพนักงานสอบสวน อ้างถึงกรณีนายธนาธร เคยอภิปรายเรื่องอภิวัฒน์สยาม 24 มิ.ย.2475 พูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทย 14 ต.ค.16 และ 6 ต.ค.19 เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนก่อตั้งวารสารฟ้าเดียวกัน อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่าง ๆ รวมทั้งงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถานบัน และไปปรากฎตัวในที่ชุมนุม ในกรณีของตนไปเอางานวิชาการสมัยตนเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกัน และหนังสือราชมัลลงทัณฑ์บัลลังก์ปฏิรูป และเอาความเห็นกรณีเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อไม่ให้เอาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมไปอยู่บนท้องถนน การชุมนุมจะได้คลี่คลายเบาบางลง โดยอ้างว่ากรณีนี้ทำให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาออกมาชุมนุม ส่วนกรณีของ น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า ไปปรากฎตัวในการชุมนุม และไลฟ์สด