วิบาก “ธรรมนัส” 3 คดีติดตัว จับตาเกมต่อรอง กลับ “พปชร.”
อาจเป็นไปได้ว่า คดีที่อยู่ในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.ดังกล่าวอาจเป็น “คดีติดตัว” ตามนัยคำพูดของ “บิ๊กป้อม” จึงทำให้ยังแบ่งรับแบ่งสู้ กรณี “ผู้กองธรรมนัส” กลับเข้าพรรค พปชร.
สถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง หลังศาลรัฐธรรมนูญไฟเขียวร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. โดยมีสาระสำคัญคือใช้สูตรหาร 100 และบัตร 2 ใบในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ท่ามกลางการแยกกันสร้างดาวคนละดวงของ “2 ป.” ระหว่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บัญชาการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมโยกย้ายสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
ตัวละครสำคัญทางการเมืองเริ่มขยับ เคลื่อนไหวรับลูกการกระชับอำนาจของ “2 ป.” กันจ้าละหวั่น หมายมั่นอยู่กับ “ฝั่งชนะ” อีกครั้ง
ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ยังคงนิ่ง ปฏิเสธทุกข่าวลือการย้ายพรรค แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าวว่า เตรียมกลับไปซบ “พรรคเพื่อไทย” ต่อมา “ลมเปลี่ยนทิศ” เตรียมโยกกลับถิ่นเก่าอย่าง “พรรคพลังประชารัฐ” ก็ตาม
เหตุผลสำคัญจาก “ซีกสีแดง” เห็นว่า หากรับ “ผู้กองธรรมนัส” เข้าชายคาอีกคำรบ อาจสร้างความแตกแยกให้พรรคได้ เพราะกลุ่มก๊วนหลายขั้วไม่เอาด้วย แถมอาจเสียฐานเสียงบางส่วนไป เนื่องด้วย “ชื่อเสีย” ที่ผ่านมา
ส่วน “ค่าย พปชร.” ยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะหาก “ผู้กองธรรมนัส” กลับเข้าพรรค จะทำให้กลุ่มก๊วนภายในที่ปัจจุบันแตกแยกอยู่แล้ว ให้ร้าวฉานหนักกว่าเดิม
โดยเฉพาะคำตอบของ “บิ๊กป้อม” เมื่อนักข่าวถามว่า ร.อ.ธรรมนัส จะเข้าพรรคหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “เขายังมีคดีอยู่ไม่ใช่หรือ”
หลายคนอาจสงสัยว่าคดีในที่นี้คืออะไร กรุงเทพธุรกิจสรุปให้สาธารณชนรับทราบ ดังนี้
เริ่มที่กรณี “มันคือแป้ง” ซึ่ง “ผู้กองธรรมนัส” หล่นคำพูดผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายครั้งในช่วง 3 ปีเศษที่ผ่านมา โดยถูกฝ่ายค้านหยิบยกคำพิพากษาของศาลออสเตรเลียมาซักฟอก เพื่อชี้ให้เห็นว่า ร.อ.ธรรมนัส เคยถูกคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ “ติดคุก” คดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตั้งแต่สมัยยังรับราชการทหาร อย่างไรก็ดีคำพิพากษาศาลดังกล่าวไม่ผูกพันกับกฎหมายของไทยตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ประเด็นนี้ยังคงเป็น “ตราบาป” ที่ถูกพูดถึงอยู่เรื่อย ๆ
กรณีต่อมาธุรกิจก่อนเข้ามาเล่นการเมืองของ “ผู้กองธรรมนัส” ที่ถูกมองว่าเป็น 1 ใน 5 เสือกองสลากฯ ถูกขุดคุ้ยในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เช่นกัน และมีการปูพรมตรวจสอบ “เครือข่าย” ของ 5 เสือกองสลากฯ นำโดย “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ เมื่อครั้งยังนั่งเก้าอี้อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แต่ต่อมาเรื่องนี้ก็เงียบหายไป พลันที่ปรากฏคลิปเสียง “เรียกรับเงิน” จนถูกปลดพ้นจากตำแหน่งไป
ถัดมาประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดตอนนี้คือ กรณีการกวาดล้าง “มาเฟียจีนสีเทา” ที่ถูกกล่าวหาว่าทำธุรกิจ “สถานบันเทิงศูนย์เหรียญ” โดยมีการพาดพิง “อดีตรัฐมนตรี” ในรัฐบาลนี้ ร้อนถึง “ผู้กองธรรมนัส” ต้องอัดคลิปโพสต์ผ่านโซเชียลว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่ม “ทุนจีนสีเทา” ดังกล่าว
ทว่า 2-3 เรื่องข้างต้นเป็นแค่ประเด็นที่ถูกพาดพิงแบบ “ผิวเผิน” เท่านั้น เพราะท้ายที่สุด ไม่มีพยานหลักฐานใดสาวไปเอาผิด “ต้นตอ” ได้
แต่ยังมีอีก 1 ชนักปักหลังในชั้นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการกล่าว หา ร.อ.ธรรมนัส เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ส.ส.พะเยา และ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ปัจจุบันยังคงดำเนินการไต่สวนอยู่ต่อเนื่อง นั่นคือกรณีการตรวจสอบ “บัญชีทรัพย์สินเชิงลึก” และกรณีภริยาถือครองหุ้นเกิน 5% แต่ไม่ได้แจ้งต่อประธาน ป.ป.ช.ตามกฎหมาย ปัจจุบัน ป.ป.ช. แบ่งการไต่สวนออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่
1.กรณีการถือครองหุ้นบริษัท เดอะบางกอก อะไลฟ์ จำกัด ทำธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เช่าพื้นที่ทำตลาด จำนวน 15,000 หุ้น (คิดเป็น 30% ของทุนจดทะเบียน) แต่มิได้แจ้งในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ
2.กรณีนางอริสรา พรหมเผ่า คู่สมรส ถือครองหุ้น บริษัท สบายใจ มาร์เก็ต จำกัด จำนวน 40,000 หุ้น มูลค่า 4 ล้านบาท (คิดเป็น 80% ของทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท) บริษัท ฮันนี สไมล์ ฮอลิเดย์ (2018) จำกัด จำนวน 8,000 หุ้น มูลค่า 200,000 บาท (คิดเป็น 80% ของทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท) บริษัท รักษาความปลอดภัย พี.ที.การ์ด จำกัด จำนวน 140,000 หุ้น มูลค่า 14 ล้านบาท (คิดเป็น 70% ของทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท
โดยทั้ง 3 บริษัทนางอริสาถือครองหุ้นเกิน 5% ในช่วงที่ ร.อ.ธรรมนัส นั่งเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แต่มิได้แจ้งต่อประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอรับประโยชน์ อาจเข้าข่ายไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543
3.กรณีการแจ้งรายได้จากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเฉลี่ยเดือนละ 3 ล้านบาท ทั้งที่ไม่ปรากฏชื่อถือหุ้นในบริษัทขายสลากแต่อย่างใด
ความคืบหน้าเรื่องเหล่านี้ ปัจจุบันสำนักงาน ป.ป.ช.ได้ข้อมูลจากหน่วยงานราชการ-หน่วยงานเอกชนมาประกอบการพิจารณาแล้ว อยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์พยานหลักฐาน เพื่อนำมาประกอบในสำนวนให้สมบูรณ์ ก่อนจะให้ ร.อ.ธรรมนัส เข้ามาชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า คดีที่อยู่ในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.ดังกล่าวอาจเป็น “คดีติดตัว” ตามนัยคำพูดของ “บิ๊กป้อม” จึงทำให้ยังแบ่งรับแบ่งสู้ กรณี “ผู้กองธรรมนัส” กลับเข้าพรรค พปชร.
สถานการณ์หลังชนฝา “ผู้กองธรรมนัส” กำลังเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองแบบนี้ จะเดินเกมต่อรองเพื่อกลับเข้ามาสู่วงจรอำนาจอย่างไร ต้องรอจับตากันต่อไป