ผ่าสูตร “310 ที่นั่ง” ตั้งรัฐบาล หากไม่แลนด์สไลด์ ผสม 3 พรรคปิดช่องต่อรองสูง
ผ่าสูตร “310 ที่นั่ง” ตั้งรัฐบาล หากไม่แลนด์สไลด์ ผสม 3 พรรค ปิดช่องต่อรองสูง โอกาส“ปชป.-พปชร.-พันธมิตรพรรคเล็ก”ผสมรัฐบาล”เพื่อไทย”
การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 โอกาสที่ พรรคเพื่อไทย (พท.) จะชนะการเลือกตั้งมีสูงมาก ส่วนจะได้จัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ยังมีอีกหลายปัจจัย แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องทำให้ได้ คือคว้าเก้าอี้ ส.ส. เข้าสภาให้ได้มากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสจัดตั้งรัฐบาล
เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยอยู่ที่การชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ 255 ที่นั่ง รวมคะแนนทั้งหมด 14 ล้านเสียง แต่หากไม่ชนะแลนด์สไลด์ก็ต้องทำให้ได้ใกล้เคียงมากที่สุด
ย้อนไปดูสถิติการเลือกตั้งของพรรคตระกูลชินวัตร ปี 2544 พรรคไทยรักไทย ได้ 248 ที่นั่ง ปี 2548 พรรคไทยรักไทย ได้ 377 ที่นั่ง ปี 2550 พรรคพลังประชาชน ได้ 232 ที่นั่ง ปี 2554 พรรคเพื่อไทย ได้ 265 ที่นั่ง ส่วนปี 2562 พรรคเพื่อไทย ได้ 136 ที่นั่ง (ส่งผู้สมัครเพียง 250 เขต จาก 350 เขต และไม่ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ)
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยมีคู่แข่งสำคัญที่จะมาแย่งแต้มทางการเมืองคือ “พรรคก้าวไกล” ซึ่งกระแสนิยมยังสูงอยู่มาก โดยเฉพาะในพื้นที่กทม. และเขตหัวเมืองแต่ละจังหวัด โฟกัสหลักไปที่หัวเมืองทางภาคอีสานและภาคเหนือ
โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะชนะแลนด์สไลด์ 255 ที่นั่ง กวาด 14 ล้านเสียง เป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากคะแนนทางการเมืองจะถูกถ่ายโอนไปที่พรรคก้าวไกล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคะแนนในฐานเดียวกัน
แตกต่างจากการเลือกตั้งของ “พรรคชินวัตร” ในครั้งก่อนๆ ที่ไม่มีพรรคการเมืองใดมาแบ่งคะแนนไปได้ ดังนั้นโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส. จะอยู่ที่ 200 + แต่ไม่ถึง 250 มีความเป็นได้สูงกว่า
ดังนั้น หลังจากนี้ไปเพื่อไทยจำเป็นต้องรีแบรนด์พรรคในการสู้เลือกตั้ง โดยแคมเปญหลักในตอนนี้คือ “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน” พร้อมทั้งปรับการสื่อสารเสียงใหม่ โดยดึงทีมงานชุดเก่าในยุคพรรคไทยรักไทยมาช่วยปรับคำในแคมเปญหาเสียง เพื่อให้โดนใจประชาชนมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังถอดบทเรียนจากการเลือกตั้งปี 2554 ใช้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โมเดล เป็นตัวนำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งในปี 2554 ชูนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน พักหนี้เกษตรกรรายย่อย และผู้มีหนี้สินต่ำกว่า 5 แสนบาท 3 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และลดภาษีรถคันแรก
ปี 2566 “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ออกมาเปิดนโยบายที่ค่อนข้างสอดคล้องกับ “ยิ่งลักษณ์โมเดล” เริ่มที่นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน รวมถึงนโยบายล้างหนี้ โดยหลังจากนี้ต้องติดตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะประกาศเพิ่มในภายหลัง
ต้องยอมรับว่าการเปิดนโยบายของพรรคเพื่อไทย ได้รับการจับตามองอย่างมาก เพราะที่ผ่านมา “พรรคชินวัตร” ไม่ว่าจะประกาศนโยบายอะไรออกมา มักจะทำได้ตามที่ประกาศเอาไว้
เมื่อเป้าหมายและยุทธศาสตร์การหาเสียง ถูกวางเอาไว้เป็นขั้นบันไดที่ “อุ๊งอิ๊ง-สมาชิกพรรคเพื่อไทย” ต้องปีนขึ้นไปให้ถึง หากชนะแลนด์สไลด์ ตัวหารเก้าอี้รัฐมนตรีอาจจะน้อยลง แต่หากมี ส.ส. 200+ อาจจะต้องเสียเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับพรรคร่วมรัฐบาลที่จะดึงเข้ามา
โดยสูตรในฝันของพรรคเพื่อไทย คือตัวเลข 310 ที่นั่ง หากพรรคเพื่อไทยมี 220 ที่นั่ง จะต้องหาพรรคร่วมรัฐบาลที่ทำให้เกินกึ่งหนึ่งคือ 30 ที่นั่งขึ้นไป ซึ่งอาจมีหลายพรรค แต่ที่พอจะมีความเป็นไปได้ในการจับมือกันตั้งรัฐบาล ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะได้ 50 ที่นั่ง และพรรคพลังประชารัฐ อาจจะได้ 30 ที่นั่ง
สูตรแรก ของ“นายใหญ่” พุ่งเป้าไปที่พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หากได้ ส.ส. 30 + เพราะจะได้เสียงของ ส.ว. มารวมในขั้นตอนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งจำนวน ส.ส. รวมจะอยู่ที่ 250 ที่นั่ง
ทำให้ต้องอาศัยเสียงจากพรรคพันธมิตร อาทิ พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น อีก 60 ที่นั่ง จึงจะได้ ส.ส. รวม 310 ที่นั่ง ตามที่วางเป้าหมายเอาไว้
สูตรสอง เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีโอกาสได้ ส.ส. เกิน 50 ที่นั่ง แต่เงื่อนไขของประชาธิปัตย์ หากเพื่อไทยติดต่อให้ร่วมรัฐบาล อาจค่อนข้างสูง อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การทุจริต เป็นต้น จำนวน ส.ส. รวมจะอยู่ที่ 270 ที่นั่ง โดยสูตรนี้จะอาศัยเสียงจากพรรคพันธมิตรอีกเพียง 40 ที่นั่ง จึงจะได้ ส.ส. รวม 310 ที่นั่ง ตามที่วางเป้าหมายเอาไว้
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะไม่จัดตั้งรัฐบาลโดยมีแค่ 2 พรรคการเมืองจับมือกัน เพราะต้องมีอะไหล่ทางการเมือง เพื่อไม่เปิดโอกาสให้เกิดการต่อรองมากจนเกินไป
สูตรรัฐบาล 2566 จะเป็นไปตามความคาดหมายของพรรคใหญ่หรือไม่ ต้องรอตัวเลขจริง ที่อาจส่งผลให้สมการการเมืองพลิกผันได้อีกหลายตลบ