มัวแต่คิดสืบทอดอำนาจ! "ก้าวไกล" จี้ "รัฐ-ประยุทธ์" ขยายผลสอบ "ทุนจีนสีเทา"
"ก้าวไกล" ไล่บี้รัฐเร่งขยายผลสอบ "คดีทุนจีนสีเทา" หลัง "อธิบดีดีเอสไอ" ถูกคำสั่งเด้งฟ้าผ่า เชื่อไม่ได้มีแค่ "ตำรวจ-ดีเอสไอ" ที่ได้ผลประโยชน์ เหน็บ "รัฐบาล-ประยุทธ์" ไม่สนใจติดตาม มัวแต่คิดสืบทอดอำนาจ
เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2566 พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการสั่งย้ายนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จากกรณีที่มีข้อสงสัยว่าเกี่ยวพันกับการเรียกรับผลประโยชน์ จนเกิดการปล่อยตัวผู้ต้องหาในคดี “ตู้ห่าว” หรือขบวนการทุนจีนสีเทา ให้หลบหนีออกนอกประเทศได้
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า กรณีของอธิบดีดีเอสไอนั้น เชื่อได้ว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการออกมาให้ข่าว ว่ากรณีการค้นบ้านพักกงสุลนาอูรูร่วมกันระหว่างตำรวจ 191 ดีเอสไอ และทหารนั้น ตัวเองไม่ได้ประสานเพื่อขอให้ดีเอสไอไปทำภารกิจตรวจค้นร่วมกับตำรวจ ทำนองว่าจะโยนความผิดทั้งหมดให้ตำรวจ แต่จากข้อเท็จจริงที่ตนได้มา เชื่อได้ว่ากรณีการตรวจค้นดังกล่าว ดีเอสไอได้เข้าประสานงานกับสถานกงสุลนาอูรูแล้วอย่างไม่เป็นทางการ แต่ด้วยความที่ขั้นตอนตามกฎหมายยังไม่ได้ให้อำนาจดีเอสไอเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีตู้ห่าว ดีเอสไอจึงได้อาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับตำรวจ 191 ขอให้ตำรวจ 191 เป็นเจ้าภาพในการขอหมายและปฏิบัติการตรวจค้น แล้วดีเอสไอจึงเข้าไปร่วมในปฏิบัติการด้วย ซึ่งแม้ในหมายค้นจะไม่มีการระบุถึงความเกี่ยวข้องของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในปฏิบัติการ แต่ในทางข้อเท็จริงกลับปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปเกี่ยวข้อง และยังไปถึงสถานที่พร้อมกับเริ่มปฏิบัติการตรวจค้นก่อนตำรวจ 191 จะมาถึงด้วยซ้ำ
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวอีกว่า ปรากฏว่าผลการตรวจค้นครั้งนั้น มีการระบุในบันทึกการจับกุม ว่าได้จับกุมผู้ต้องหาสตรีชาวจีนที่เป็นแม่บ้านเพียงคนเดียว กับเงินสด 2.5 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วพบตัวผู้ต้องหาตามหมายแดงจากการข่าวถึง 11 คน กับเงินสด 8.5 ล้านบาท ซึ่งเมื่อดูจากภาพคลิปในกล้องวงจรปิดที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำมาเปิดเผย ก็จะเห็นได้ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์จากบุคคลชาวจีนคนหนึ่ง โดยล่ามของดีเอสไออยู่ที่ด้านนอกบ้าน ได้เป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท ก่อนจะมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาชาวจีนทั้ง 11 คนไป
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวด้วยว่า ด้วยข้อเท็จจริงภายใต้บริบทเช่นนี้ ประกอบกับการมีเอกสารหลักฐานรายงานของ ผบ.การข่าว ถึงอธิบดีดีเอสไอ เกี่ยวกับกรณีการตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ จึงเชื่อได้ว่าอธิบดีดีเอสไอ น่าจะมีส่วนรับรู้กับปฏิบัติการตรวจค้นครั้งนี้ ทั้งนี้ จากการจับกุมตัวผู้ต้องหาที่เป็นล่ามชาวจีนได้ก่อนพยายามหนีออกนอกประเทศ ทำให้บัดนี้เจ้าหน้าที่ทราบถึงข้อมูลเส้นทางการเงินในคดีนี้แล้วว่าไปที่ไหนบ้าง ซึ่งควรจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ในการทำให้ทุกคนได้รู้ว่ากระแสเงินอยู่ที่ไหน มีใครรับไปบ้าง เป็นส่วนแบ่งอยู่ที่ใคร จำนวนเท่าไร
ส่วน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าทั้งกลุ่มทุนจีนสีเทาและผู้มีอำนาจที่ได้ประโยชน์จากการดำรงอยู่ของกลุ่มทุนจีนสีเทาเหล่านี้ กำลังปฏิบัติการเพื่อบ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้อยู่ ซึ่งตนขอเรียกร้องให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมลงไปอีก ว่ามีหน่วยงานที่รับผิดชอบในคดีตู้ห่าวอื่นใดอีกบ้าง ที่อาจจะมีการทุจริตเรียกรับหรือได้รับผลประโยชน์จากกลุ่มทุนจีนสีเทาเพื่อให้เคลียร์คดีให้
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สำหรับกรณีอธิบดีดีเอสไอนั้น ต้องทำให้มั่นใจได้ว่าตัวของอธิบดีเองและลูกน้องคนสนิท จะอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถมีบทบาทต่อกระบวนการตรวจสอบ จนอาจเป็นการยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เพราะฉะนั้น เพียงแค่การสั่งย้ายไปที่หน่วยงานอื่นในสังกัดกระทรวงเดียวกันย่อมไม่พอ แต่ควรให้ไปอยู่ในจุดอื่นที่เป็นการพักการทำงานไปเลย เพื่อให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปโดยความละเอียดรอบคอบ
นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับตู้ห่าวและทุนจีนสีเทา ไม่ได้มีแค่ดีเอสไอหรือตำรวจ เป็นไปได้มากว่าจะมีคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านั้นเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรม ซึ่งก็ต้องเรียกร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้มีการสอบสวนโดยละเอียดมากกว่านี้และแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ด้วย ในฐานะที่ดีเอสไออยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมโดยตรง และที่สำคัญคือรัฐบาลจะต้องหันมาเอาจริงกับเรื่องนี้ได้แล้ว
“นี่คือผลของการไม่ยอมทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เอาแต่คิดว่าจะสืบทอดอำนาจอย่างไร หน่วยงานที่สังกัดกระทรวงต่างๆ ที่ดูแลเรื่องนี้อยู่เห็นได้เลยว่าทำงานเละเทะกันไปหมด จนตอนนี้เราแยกแทบไม่ออกแล้วว่าใครคือเจ้าหน้าที่รัฐจริงๆ หรือใครคือโจรกันแน่” นายรังสิมันต์ กล่าว