ชทพ.ลุ้นปักธง 2 ส.ส.กทม. โหนกระแสรุ่นใหม่-ขายผลงาน

         การเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมาถึง กกต. แบ่งพื้นที่เลือกตั้ง ออกเป็น 400 เขต โดยพื้นที่ กทม.สามารถมี ส.ส.ได้เยอะสุด คือ 33 คน จาก 33 เขตเลือกตั้ง และเป็นพื้นที่ที่หลายพรรคการเมืองจับจ้อง

 

         แน่นอนว่า แต่ละพรรคล้วนต้องการชิงเก้าอี้นี้มา เพื่อต่อยอดไปสู่การสร้างฐานนิยมให้พรรคในอนาคต

 

         ก่อนหน้านี้ ในการเลือกตั้งปี 2562 พื้นที่ กทม.​มี ส.ส.ได้ 30 คน แต่มีเพียง 3 พรรค ที่มีชื่อว่า ได้ “ส.ส.กทม.” คือ พลังประชารัฐ 12 ที่นั่ง เพื่อไทย ได้ 9 ที่นั่ง และอนาคตใหม่ หรือต่อมาคือ “ก้าวไกล” ได้ 9 ที่นั่ง ขณะที่พรรคอื่น “ตายเรียบ"

 

         ทว่า รอบเลือกตั้งที่จะมาถึง กทม. ได้ส.ส.เพิ่มอีก 3 คน รวมเป็น 33 คนและหลายพรรค วางยุทธศาสตร์ เตรียมเจาะพื้นที่ เพราะประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วพบว่า “ความแข็งแกร่ง” ของพรรคเจ้าถิ่นลดน้อยถอยลง

 

         ความเคลื่อนไหวขณะนี้ คือการดึง “แกนนำ-หัวคะแนน” รวมไปถึง ดึงอดีตแม่ทัพจากพรรคใหญ่ ในภาคกทม. เข้ามาเสริมยุทธศาสตร์สู้ศึก พ่วงกับเกมดูด “อดีตส.ส.-ส.ก.-ส.ข.” เข้าพรรคตนเอง เพื่อใช้คะแนนนิยมรายตัวอัปเกรดให้ได้ เป็น “ส.ส.” สมัยหน้า

         ล่าสุด พรรคชาติไทยพัฒนา ไม่น้อยหน้า “วราวุธ ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรค ประกาศเตรียมส่ง “ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.” ไม่น้อยกว่า 10 เขต ซึ่งพลิกแผนเดิมที่ “จะไม่ส่ง” แบบเต็มทุกเขต เนื่องจากผลเลือกตั้ง กทม.รอบที่ผ่านมา “ได้” ไม่คุ้มเสีย เมื่อเทียบกับ “รายจ่าย” ทั้ง “ค่าสมัคร-ค่าผลิตป้าย-ค่าเดินหาเสียง”

 

         ผลการเลือกตั้งปี 2562 พรรคชาติไทยพัฒนา ส่งผู้สมัคร ส.ส.กทม. 30 เขต ได้คะแนนรวมทั้งหมด 9,803 คะแนน

 

         ส่วนแรงจูงใจที่ “ชาติไทยพัฒนา” จะกลับมาส่งผู้สมัคร อย่างน้อย 10เขตในกทม. นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการ ได้ “สันติ กีระนันทน์” อดีตรองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ขับเคลื่อนในพื้นที่ กทม. เข้ามาเสริมทัพในพรรค และได้พูดคุยกับ “สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” ที่อดีตเคยเป็นแม่ทัพภาคกทม. ของ “สร้างอนาคตไทย”

         การดีลกันของเรื่องนี้ ชนวนมาจากการแตกหักของ “สร้างอนาคตไทย” ที่ “อุตตม สาวนายน” หวนคืนรัง “พลังประชารัฐ” แต่กลับ ลอยแพ “ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.” ที่ “สุรนันทน์-สันติ” เจรจาและประกาศเปิดตัวและตั้งศูนย์ประสานงานไปในหลายพื้นที่ ทำให้ ต้องหาที่ทางการเมืองให้ “ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.” มีเส้นทางเดินต่อ

 

         ต่อเรื่องนี้ “สันติ” ฐานะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา ยอมรับว่าเป็นความรับผิดชอบต่อคนที่ได้ไปเจรจามา แต่ไม่ใช่การ “โยกทีม” เพราะการพิจารณาตัวบุคคลจะลงสมัครส.ส.เขตใด เป็นสิ่งที่กรรมการสรรหา ผู้สมัคร พรรคชาติไทยพัฒนาจะพิจารณา แต่เบื้องต้นพบว่า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ของพรรคชาติไทยพัฒนานั้นมีไม่มาก ส่วนคนที่เสนอตัวนั้น “เขต” ไม่ทับซ้อนกัน

 

         ทว่าที่ผ่านมากระแส “ชาติไทยพัฒนา” ในพื้นที่กทม. ต่ำเรี่ยติดดิน แม้เคยมีส.ส.กทม. มาแล้ว 1 คน ในสมัยของพรรคชาติไทย เมื่อปี 2548 คือ “แบม-จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์” แต่ปัจจุบันการวัดกระแสในกทม. “พรรคชาติไทยพัฒนา“ หรือชื่อ ”วราวุธ ศิลปอาชา” ยังไม่ติด Top5 ทำให้ “สมรภูมิเลือกตั้ง กทม.” หากจะชิงเก้าอี้จริงจัง คงต้องทำงานให้หนักทั้ง ผู้สมัครและผู้บริหารพรรค

 

         อย่างไรก็ดี “สันติ” มองในประเด็นนี้ว่า พรรคชาติไทยพัฒนามีจุดเด่นคือ ไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่มีกระแสในแง่ลบ และเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ ผ่านร้อนผ่านหนาว อีกทั้งมีนโยบายที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพ ดังนั้นจึงเป็นจุดเด่นที่จะสนับสนุนให้ได้คะแนน บวกกับ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. จากเดิมที่จะลงในนามพรรคสร้างอนาคตไทย แต่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลง ไม่เคยหยุดการลงพื้นที่ เพราะมองเห็นวิกฤตที่ประชาชนถูกส.ส.ในพื้นที่ทอดทิ้ง จะเป็นโอกาสที่เชื่อว่า ว่าที่ผู้สมัครฯ จะได้รับความไว้วางใจ

         โดยภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ พรรคชาติไทยพัฒนาจะถือฤกษ์เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้งหมดได้

 

         ในแง่ของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในกทม. “ชาติไทยพัฒนา” ตั้งเป้าปักธงให้ได้ อย่างน้อย 2 เขตในกทม. โดยเขตแรกที่ตั้งเป้า คือ “บางนา-พระโขนง” ที่ “ส.ส.เป้-สมเกียรติ ถนอมสินธุ์ จากพรรคก้าวไกล เตรียมย้ายเข้าสังกัดหลัง 28 ก.พ.นี้ ส่วนเขตที่ 2 อยู่ย่านฝั่งธง โดยผู้สมัคร มีดีกรี เป็น “ส.ส.ย้ายสังกัด” เช่นกัน

         ขณะที่การเดินหาคะแนนนั้น “วราวุธ” เคยยอมรับว่าจะไม่ใช่กลยุทธ์ ส่งผู้สมัครทุกเขต เพื่อให้นำธงชาติไทยพัฒนา หาเสียง ดังนั้นสิ่งที่ “กรรมการสรรหาผู้สมัคร” จะทำ คือ เน้นการส่งส.ส.เขตเกรดเอ และ เกรดบี เท่านั้น ส่วนเขตที่ไม่มีผู้สมัคร จะเน้นการติดป้าย สร้างกระแส ชูตัวผู้นำคนรุ่นใหม่ และ นโยบายทำได้จริง ไม่ขายฝัน

 

         เพราะมองว่า แม้กติกาเลือกตั้งจะปรับเป็น บัตร2ใบ แต่หากไม่ใช่ จ.สุพรรณบุรี-นครปฐม แล้ว การกาคะแนนให้ “ชาติไทยพัฒนา” ทั้ง 2 บัตร ยิ่งเป็นงานยาก เพราะ พฤติกรรมของ “ประชาชน” ที่มีน้ำใจ แบ่งคะแนนให้ คนที่รัก และพรรคที่ชอบ 

 

         ดังนั้นการใช้ยุทธ์ศาสตร์ แบบพุ่งเป้า “เจาะเขตที่มีเปอร์เซ็นต์ได้ส.ส.” และ โหนกระแส “คนรุ่นใหม่” และนโยบายภาพกว้าง เพื่อได้คะแนน “บัญชีรายชื่อ”

 

         เพราะ “ชาติไทยพัฒนา” มองแล้วว่า น่าจะเป็นทางที่ตอบโจทย์ ของพรรคขนาดกลางค่อนไปเล็ก ให้มี "ส.ส.” เข้าสภา หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า.