“คริส” ย้ำแผล “ก้าวไกล” รับไม่ได้ “โปลิตบูโร” ปัดตอบใช่ “ธนาธร-พิธา” หรือไม่
“คริส” ย้ำแผล “ก้าวไกล” รับไม่ได้มี “โปลิตบูโร” ใช้อำนาจคุมพรรค เหนือกรรมการบริหาร ปัดตอบใช่ “ธนาธร-พิธา” หรือไม่ ชี้นโยบายหาเสียงลอยลงมาจาก “ห้องแอร์” ไม่ผ่านการโหวตของสมาชิก
เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2566 นายคริส โปตระนันทน์ อดีตผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และอดีตประธานกลุ่มเส้นด้าย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี กรณีลาออกจากพรรคก้าวไกล และเตรียมจัดตั้งพรรคใหม่ ว่า การโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กเมื่อวานนี้ไม่ใช่การทิ้งระเบิด มันคือการอธิบายถึงเหตุผลที่ตนจำเป็นต้องลาออกว่า ไม่เห็นด้วยกับพรรคอย่างไร ถ้าทิ้งระเบิดพรรคจริง ตนอยู่พรรคนี้มา 5 ปี มีเรื่องอะไรเยอะไปหมด พรรคคงระเบิดเป็นจุลไปแล้ว แต่การโพสต์เมื่อนวานคือการอธิบายว่า ทำไมถึงไม่สามารถลง ส.ส.ครั้งนี้ในนามพรรคก้าวไกลได้
นายคริส กล่าวถึงสาเหตุที่ลาออกจากพรรคก้าวไกลว่า ตอนตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราอยากทำพรรคประชาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยในพรรคด้วยอย่างแท้จริง สมาชิกมีสิทธิออกเสียง การคัดเลือกนโยบายสมาชิกควรมีส่วนร่วม และตอนนี้สำคัญสุดคือการคัดเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคมาอย่างไร สำคัญมาก อยากทำพรรคแบบนี้ให้เกิด แต่ปรากฏว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในภาพฝันที่ต้องการ คนอื่นอาจไม่ต้องการก็ได้ แต่นี่คือสิ่งที่ตนต้องการ และอยากให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ตอนนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้น
เมื่อถามว่า เหตุผลที่ระบุว่าพรรคก้าวไกลเนื้อในเป็นเผด็จการนั้น ขอรูปธรรมสักหนึ่งเรื่อง นายคริส กล่าวว่า วันนี้เราพูดเรื่องโครงสร้างกัน ตนไม่ได้บอกว่าก้าวไกลเป็นเผด็จการ แต่กลไกประชาธิปไตยในก้าวไกลยังต่ำมาก ขาดการรับฟังความเห็นของสมาชิก นอกเหนือจากกรรมการบริหารพรรค ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง ให้ชื่อว่า “โปลิตบูโร” เป็นกลุ่มคนที่ไม่รู้มาจากไหน ไม่ได้รับการเลือกตั้งมา ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง หรือเป็นกรรมการบริหาร แต่เป็นคนกำหนดเรื่องทั้งหมดที่สำคัญในพรรค
“ที่เห็นชัดเจนที่สุด กลุ่มนี้จะมีผลมากในการตัดสินว่าใครจะได้ลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ หนึ่งในเงื่อนไขจากสิ่งที่ผมเขียนไป ได้คุยกับเขาว่า อยากขยับไปลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่สิ่งที่มันเกิดคือ เขาถามว่า คุณจะมาเป็นได้อย่างไร คุณเหยียบย่ำหัวใจคนในพรรคขนาดนี้ แล้วก็ตามที่เขียน แต่เรื่องใหญ่มีอยู่ว่า เขาพูดว่า ถ้ามีเซลส์แมน 2 คน คนแรกเป็นคนที่ขายเก่งมาก แต่ต่อรองผลประโยชน์ตลดเวลา กับคนที่ 2 ยอดขายครึ่งเดียวกับคนแรก แต่จงรักภักดี เขาจะเลือกคนที่ 2 เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็รู้ชัดว่า ถ้าเราเอาผลงานตลอด 5 ปีของเราไปคุยกับเขา รู้แล้วว่าเราอาจเป็นเซลส์แมนคนแรก ทั้งที่การเมืองไทยต้องก้าวข้ามความจงรักภักดีไปได้แล้ว ยิ่งกำลังจะเคลมว่าเป็นพรรคฝั่งประชาธิปไตย มาคุยเรื่องความจงรักภักดีมันก็แปลก ๆ” นายคริส กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า สามารถบอกได้หรือไม่ว่า “โปลิตบูโร” มีใครบ้าง นายคริส ปฏิเสธจะตอบคำถาม โดยระบุว่า “ไม่สามารถบอกได้”
เมื่อซักอีกว่า แล้วคนที่คุยเรื่องเซลส์แมน คือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า หรือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ใช่หรือไม่ นายคริส ปฏิเสธตอบคำถามอีกครั้ง โดยระบุว่า “ตอบไม่ได้”
นายคริส กล่าวอีกว่า เรียนอย่างนี้ว่า เรื่องจงรักภักดี หรือการที่เขาบอกว่า ให้พิสูจน์ตัวเองหน่อย ตนก็บอกว่า พูดจริง ๆ ตนเป็นนักการเมือง ลงสมัคร ส.ส.เขต อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน พร้อมพิสูจน์ตัวเองกับประชาชน แต่เป็นแบบนี้ปุ๊บ เรารู้ว่าพรรคแบบนี้ ไม่ใช่พรรคที่เป็นกรรมการบริหาร แต่เมื่อโปลิตบูโรไม่ชอบขี้หน้าเรา เราอยู่ไม่ได้
“เวลาเราลงหาเสียงให้พรรค พูดนโยบายหลายอย่างของพรรค นโยบายหลายอย่างไม่ผ่านกลไกประชาธิปไตยมา แต่ผ่านทีมหนึ่งที่เป็น Think Thank ที่ปรึกษาของโปลิตบูโร ผ่านห้องแอร์ ผ่านนักวิชาการ เคาะแล้วส่งมาให้ผู้สมัคร ส.ส.เขต ลงไปพูด ไปขาย เมื่อกลไกมันไม่ได้ สิ่งที่ไปพูด ก็ขาดความชอบธรรม และหลายอย่างที่เราไม่เห็นด้วย เราลงไปพูด ก็เหมือนกับโกหกประชาชน จะขายอะไร ก็ต้องเป็นสิ่งที่เชื่อได้ หรือเป็นกระบวนการผ่านการโหวตในพรรคมาแล้ว อันนี้โอเค แต่ตอนนี้มันไม่ใช่” นายคริส กล่าว
นายคริส กล่าวถึงนโยบายของพรรคก้าวไกลที่รับไม่ได้ว่า จริง ๆ มีหลากหลาย ที่พวกตนไม่เห็นด้วย แต่เรื่องใหญ่สำคัญที่สุดในรอบนี้คือ พรรคก้าวไกลเสนอบำนาญผู้สูงอายุ 3,000 บาทถ้วนหน้า ตอนนี้รู้หรือไม่ รายจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุใช้งบ 8 หมื่นกว่าล้านบาท แต่ถ้าใช้นโยบายนี้ของพรรคเลยจะใช้งบขึ้นเป็น 3 แสนกว่าล้านบาท พอไปคุยกับคนในเขต เขาไม่ต้องการสิ่งนี้ คนแก่มีศักดิ์ศรี เพราะให้เงินคนแก่ ไม่ว่า 600 บาท หรือ 3,000 บาท มันก็เท่านั้น หากใช้นโยบายนี้อีก 10 ปี จะมีรายจ่ายกว่า 6 แสนล้านบาท เกือบ 20% ของงบประมาณประเทศ แล้วจะไปรอดได้อย่างไร ต้องถามสมาชิกด้วย จะเอากันแบบนี้ใช่หรือไม่
นายคริส กล่าวด้วยว่า ถ้าจะลงเลือกตั้งรอบนี้ แล้วสุดท้ายเกิดได้เป็น ส.ส. วันหลังถ้าเกิดทะเลาะกับพรรค หรือยังไม่เห็นด้วยกับวิธีบริหาร แล้วเดินออกมาหลังจากเลือกตั้ง ตนเป็นงูเห่าเลยนะ ดังนั้นถ้าจะออกก็ต้องพูดกันตอนนี้ เพราะไม่สามารถโกหกประชาชน
ส่วนพรรคใหม่จะใช้ชื่อว่าอะไรนั้น นายคริส กล่าวว่า กำลังปรึกษากันอยู่หลายทาง การตั้งพรรคการเมืองใหม่ไม่ง่าย และต้องใช้ทุน ใช้ใจ ใช้คน ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างพูดคุยกัน ถ้าเป็นไปได้อยากลงเลือกตั้งภายในการเลือกตั้งรอบนี้ แต่คิดว่า คงทำพรรคเล็ก ๆ ไป มีประชาชนอาจร่วมกันผลักดัน