“เพื่อชาติ”เปิดนโยบายศึกษา-สาธารณสุข-เกษตร-รับส่งไม่ครบ 400 เขต
“เพื่อชาติ”เปิดนโยบายศึกษา-สาธารณสุข-เกษตร หวังแก้ปัญหาประเทศ ยังอุบชื่อแคนดิเดตนายกฯ รับส่งไม่ครบ 400 เขต
เมื่อเวลา 10.00น. ที่ PC Space อาคารวรรณสรณ์ ย่านพญาไท น.ส. ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรค อาทิ ร.อ.จารุพล เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค นส.พลอยนภัส โจววณิชย์ รองหัวหน้าพรรค นายปวีย์ภัทร วัฒนศิริเศรษฐ โฆษกพรรคเพื่อชาติ ร่วมแถลงตัวโครงการ PC Space พรรคเพื่อชาติ เปิดนโยบาย และเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อชาติ
น.ส.ปวิศรัฐฐ์ กล่าวว่า PC Space พรรคเพื่อชาติ ที่เราตั้งขึ้นตั้งใจให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำไปปรับเป็นนโยบาย เพราะแกนนำพรรคจะแวะเวียนเข้ามายัง PC Space แห่งนี้ด้วย นโยบายของพรรคเพื่อชาติ เน้นที่การศึกษาด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิต การศึกษาสามารถเปลี่ยนประเทศได้ เริ่มจากการปฏิรูปการศึกษานอกโรงเรียน ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและตลาดแรงงานในปัจจุบัน ปฏิรูปอาชีวะ มีเงินเดือนเท่าปริญญาตรี ครูอัตราจ้างต้องได้รับเงินเดินตามวุฒิการศึกษา กยศ.จะต้องกู้ง่าย ไม่มีคนค้ำประกันและปรอดดอกเบี้ยปรับหลักสูตรปริญญาหรืออนุปริญญาตามพื้นที่
โดยออกแบบหลักสูตรตามความต้องการของคนในพื้นที่ ขณะที่นโยบายสำหรับเด็กและเยาวชน จะยกเลิกชุดนักเรียนนักศึกษาให้เด็กและเยาวชนได้เลือกแต่งชุดตามเพศสภาวะ เพื่อเป็นลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองรวมถึงลดเงินอุดหนุนชุดนักเรียนจากภาครัฐ แล้วไปเพิ่มคุณภาพและงบประมาณอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียน และทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยแก่เด็ก
รอ.จารุพล กล่าวว่า พรรคมีนโยบายด้านการเกษตร ต้องแก้ที่ต้นตอ ต้องลดต้นทุน หนุนรายได้เพิ่ม เรามีนโยบายธนาคารเมล็ดพันธุ์ประจำหมู่บ้าน พันธ์พืชท้องถิ่นสำคัญ ทั้งวิจัย ต่อยอด ให้ยืม ซึ่งเราจะรักษาอธิปไตยพันธุ์พืชไว้ได้ เกษตรกรไม่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์อีกต่อไป จะทำให้ปุ๋ยทางเลือก อย่างปุ๋ยอินทรีย์เป็นปุ๋ยหลัก ตั้งโรงงานจังหวัดที่ทำปศุสัตว์เยอะ นำมาทำปุ๋ยอินทรีย์ ให้ประชาชนใช้ในราคาถูก รัฐทำ ประชาชนใช้ ในราคาย่อมเยา
นอกจากนี้มีแนวทางเกษตรพลัส นำการเกษตรมาผสมผสานการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาได้ทดลองทำไปบ้างแล้วที่จ.เชียงราย พี่น้องยังทำเกษตรได้ แต่ยังต่อยอดไปสู่เพื่อให้มีรายได้จากการท่องเที่ยว ด้านที่พัก ตลอดทั้งปี ยังไม่รวมการแปรรูปสินค้าเกษตรต่างๆเพื่อสร้างรายได้
น.ส.พลอยนภัส กล่าวว่า สำหรับนโยบายด้านสาธารณสุข พรรคมีแนวทางตรวจสุขภาพคนไทยฟรีทุก4ปีที่ให้เหมาะสมทุกช่วงวัย ยกระดับรพ.สต.เป็นโรงพยาบาลประจำตำบล ที่มีทั้งแพทย์ พยาบาลและอุปกรณ์ครบครัน ให้ดูแลสุขภาพคนไทยได้อย่างทั่วประเทศ มีสวัสดิการแว่นสายตาถ้วนหน้า และการแจกผ้าอนามัยฟรีและVat เป็นศูนย์ ขณะเดียวกันจะมีการแก้กฎหมายสินค้าที่เกี่ยวกับเรื่องเพศอีกด้วย
นายปวีย์ภัทร วัฒนศิริเศรษฐ โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่านโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรค จะมุ่งไปที่ธุรกิจ SME จะตั้งกองทุนเพื่อ SME 1 แสนล้าน ให้ SME เข้าถึงแหล่งทุน ทำให้ผู้ประกอบการคล่องตัวในการขอใบอนุญาติต่างๆ รวมถึงยังมีนโยบาย SME to L เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสเติบโต และสนับสนุนให้ไปขายต่างประเทศ ดึงเงินเข้ามาพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ยังมีนโยบาย บัตรเครดิตถ้วนหน้าวงเงิน 3,000 บาท และสามารถขยายวงเงินได้หากมีเครดิตที่ดี เพื่อแก้ปัญหาเงินกู้นอกระบบ
ขณะที่นายรักษ์ชาติ วงศ์อธิชาติ รองเลขาธิการพรรค กล่าวถึงนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม ว่าเราจะปลักดันให้หนักศึกษาฝึกงานต้องได้เงินเดือนขั้นต่ำ 50% ของเงินเดินตามวุฒิการศึกษา เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาให้มีรายได้ นอกจากนี้ทางพรรคจัดทำศูนย์นโยบายมีชีวิต Live Policy ครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สาธารณสุข เด็กเยาวชน ความเหลื่อมล้ำ กระบวนการยุติธรรม การจัดการน้ำด้านสิ่งแวดล้อม ภายในจะมีการจัดแสดงด้วยระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยเสมือนจริง พร้อมเปิดให้ชมในเร็วๆนี้ ภายใต้แนวคิด ทำให้ดูก่อน ถ้าชอบค่อยเลือก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางพรรคยังให้แกนนำพรรค ว่าที่ผู้สมัครแต่ละคน สลับสับเปลี่ยนนำเสนอนโยบาย ซึ่งมีทั้งการจะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม กองทัพ สิทธิ์ในที่ดินทำกิน ปฏิรูปภาษีที่ดิน เรื่องเศรษฐกิจชายแดน ปัญหาแรงงาน การผลักดันต่อยอดแหล่งท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น
นางสาวปวิศรัฐฐ์ ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการเมืองของพรรคว่า พรรคเพื่อชาติได้ดำเนินการขับเคลื่อนในรูปแบบใหม่ พร้อมสู้ทุกกติกาการเลือกตั้ง การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะส่งให้ได้มากที่สุดแต่อาจไม่ครบทั้ง 400 เขต ซึ่งผู้สมัครแต่ละคน พรรคจะต้องตรวจสอบคุณสมบัติอย่างละเอียด สำหรับการเป้าที่นั่งในสภานั้น ยังไม่สามารถคาดเดาได้ อยู่ที่ความไว้วางใจของประชาชน ผู้สมัครส.ส.เบื้องต้นที่เปิดตัววันนี้ พรรคมีความมั่นใจ เชื่อมั่นว่าจะตอบโจทย์ประชาชนได้
เมื่อถามถึงการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นส.ปวิศรัฐฐ์กล่าวว่า ขอเปิดเผยภายหลังการส่งชื่อให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกันกับการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่จะประกาศอีกครั้งว่าจะจัดที่ใด