หอบเอกสาร 1.3 แสนแผ่นส่ง ป.ป.ช.สอบ “บิ๊ก ตม.ภ.4-พวก” 107 คน พันคดี “ตู้ห่าว”
หอบเอกสาร 1.3 แสนแผ่น 8,000 กรรม ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ไต่สวนเอาผิด “อดีต ผบก.ตม.ภาค 4-พวก 107 คน” พันคดี “ตู้ห่าว” หลังขยายผลพบได้อยู่ไทยนานผิดปกติ อ้างมาทำงานในมูลนิธิเพื่อยืดอายุอยู่ต่อ
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า วันนี้เมื่อเวลา 14.00 น. หัวหน้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเวฬุวัน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น นำโดย พล.ต.ต. นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการกองบังคับการศูนย์ฝึกอบรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.ศฝร.บช.น.) นำสำนวนกรณีกล่าวหา พล.ต.ต.ณัฐวัฒน์ การดี อดีตผู้บังคับการตำรวจคนเข้าเมือง 4 (ผบก.ตม.4 ) กับพวก รวม 107 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สังกัดกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง4 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอนแก่น อำนาจเจริญ ยโสธร หนองบัวลำภู อุดรธานี นครราชสีมา กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ สกลนคร แพร่ เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา นครศรีธรรมราช นนทบุรี ซึ่งเป็นหลายพื้นที่ทั้งภาค 4 และต่อเนื่องภาค 5
โดยมีการรับคำร้องเกี่ยวกับกรณีบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนขออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และมีการเปลี่ยนแปลงการลงตราวีซ่า อ้างเหตุผลความจำเป็นว่าเพื่อปฏิบัติงานในมูลนิธิ สถานศึกษาของเอกชน ว่ามีการฝ่าฝืนหลีกเลี่ยงกฎหมาย ระเบียบคำสั่ง ที่จะอนุญาตโดยมิชอบด้วยกฏหมาย เป็นเหตุให้คนต่างด้าว อยู่ในราชอาณาจักรได้นานขึ้น เปิดให้คนต่างด้าวรวมกลุ่มกัน และเป็นกระบวนการก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
นายนิวัติไชย กล่าวอีกว่า สำหรับสำนวนที่ส่งมาในวันนี้มีประมาณ 8,000 กรรม มีเอกสาร 139,000 แผ่น มา 7 คันรถ ด้วยกัน จำนวนผู้ถูกกล่าวหา 107 คน โดยส่งมาตาม มาตรา 61 แห่ง พ.ร.ป.ป.ป.ช. จึงรับไว้ เพื่อตรวจสอบว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือไม่ หากตรวจสอบพบว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ก็จะพิจารณาว่าจะส่งคืนหรือจะรับไว้สอบเอง โดยจะต้องเสนอให้คณะกรรมการป.ป.ช. เป็นผู้พิจารณา แต่ในเรื่องนี้ไม่มีการควบคุมตัวผู้ต้องหามาแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับตู้ห่าวใช่หรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ถูกต้อง เป็นการขยายผลเนื่องจากพบว่าเป็นบุคคลที่เข้าไปพัวพันในคดีนี้มีใบอนุญาตอยู่ในประเทศไทยนานผิดปกติ ทั้งที่ปกติจะต้องมีการประทับตราวีซ่าท่องเที่ยว แต่ก็มีการอนุญาตโดยแอบอ้างว่าเป็นผู้ที่มาปฏิบัติงานในมูลนิธิ เป็นผู้มาปฏิบัติงานในสถานศึกษาเอกชน เพื่อยืดอายุการอยู่ในประเทศไทยให้นานขึ้น และกลุ่มคนพวกนี้เมื่อได้รับอนุญาตให้อยู่ยาวขึ้นก็มาตั้งเป็นแก๊ง หรือมาก่ออาชญากรรม
เมื่อถามว่า จะนำสำนวนดังกล่าวไปรวมเข้ากับคดีตู้ห่าวที่ ป.ป.ช. เคยรับไว้แล้วหรือไม่ เลขาฯ ป.ป.ช. กล่าวว่า คดีตู้ห่าว ป.ป.ช. ยังไม่เคยรับ แต่เป็นเรื่องการดำเนินการ แต่ถ้าตู้ห่าวมีความเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ที่กระทำความผิด ก็จะอยู่ในอำนาจหน้าที่ของป.ป.ช.สอบได้ เช่น คดีดีเอสไอที่บุกค้น ร่วม 191 ที่บ้านที่อ้างเป็นทูต อันนี้ส่งมาให้ป.ป.ช.แล้ว แต่ส่วนที่ก่ออาชญากรรมเป็นความผิดซึ่งไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมด้วยก็แยกไปดำเนินการ หรือเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐก็แยกไปดำเนินคดีต่อไป