“ก้าวไกล” เปิดนโยบายสุขภาพก้าวหน้า แก้บุคลากรแพทย์งานหนัก-พักน้อย
“พิธา” เปิดนโยบาย “สุขภาพไทยก้าวหน้า” ชี้ความเสี่ยงสาธารณสุขพังทลาย บุคลากรแพทย์งานหนัก-พักน้อย รพ.คนไข้ล้น “ก้าวไกล” ชู 2 เพิ่ม-2 ลด กำหนดช่วงโมงทำงาน-ส่งต่อหาเตียงไร้รอยต่อ ดูแลสุขภาพจิตครบวงจร
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2566 ที่โรงพยาบาลเขาพนม อ.เขาพนม จ.กระบี่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เปิดตัวชุดนโยบาย "สุขภาพไทยก้าวหน้า" ของพรรคก้าวไกล และร่วมพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้เข้าใช้บริการโรงพยาบาลเขาพนม สอบถามถึงสภาพการทำงานและการให้บริการของโรงพยาบาล พบว่ามีพยาบาลทำงานต่อเนื่องกัน 16 ชั่วโมง และโรงพยาบาลนี้มีขนาดรองรับได้ 30 เตียง แต่ปัจจุบันมีเตียงเสริมล้นไปถึง 45 เตียง เกินกว่าศักยภาพที่ตั้งไว้ 50% อีกทั้งไม่มีน้ำประปาสะอาดใช้ในหน้าแล้ง ทั้งที่โรงพยาบาลตั้งอยู่ใกล้อ่างเก็บน้ำ
นายพิธา กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของระบบสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน คือการที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนักและมีเวลาพักผ่อนน้อย สาเหตุสำคัญเพราะจำนวนผู้ป่วยที่นับวันมีแต่เพิ่มขึ้นจนล้นโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลเขาพนมแห่งนี้ มีผู้ป่วย 300-400 คนต่อวัน สถานการณ์นี้ที่ต้องเผชิญเกือบทุกวัน ทำให้สุขภาพกายของบุคลากรทางการแพทย์ย่ำแย่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยจากสถิติพบว่าการทำงานต่อเนื่องกัน 17 ชั่วโมง ซึ่งเป็นจำนวนชั่วโมงทำงานต่อวันโดยเฉลี่ยของแพทย์โรงพยาบาลรัฐนั้น กระทบต่อสมรรถภาพร่างกายเทียบเท่าการมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 0.05% ซึ่งในบางประเทศเป็นระดับแอลกอฮอล์ที่มีการออกกฎหมายห้ามขับรถ
นายพิธา กล่าวด้วยว่า หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ระบบสาธารณสุขของประเทศเราจะพังทลาย ทั้งผู้ป่วยและผู้มีหน้าที่รักษาพยาบาล จะเกิดวิกฤติสุขภาพด้วยกันทุกฝ่าย การออกแบบนโยบายสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดจึงสำคัญมาก เพราะต่อให้เรามีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ดีเลิศแค่ไหน แต่ประเทศไทยที่เข้มแข็งและที่พร้อมเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ไม่สามารถสร้างได้หากคนไทยมีสุขภาพอ่อนแอ
ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้ จำเป็นต้องใช้หลักการ "2 ลด 2 เพิ่ม" ประกอบด้วย
ลดที่ 1 คือลดความเหลื่อมล้ำ เพราะปัจจุบันแพทย์ส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ 1:600 คน ขณะที่แพทย์ในจังหวัดอื่นๆ เช่น จ.บึงกาฬ มีสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ถึง 1:5,000 คน หรือ จ.กระบี่ มีสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ 1:3,000 คน สะท้อนความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากรอย่างชัดเจน ประชาชนแต่ละพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงคุณภาพการให้บริการที่ใกล้เคียงกัน
ลดที่ 2 คือลดชั่วโมงการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ไม่เช่นนั้น ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าแพทย์ที่ต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมง จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความผิดพลาด ส่วนการแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มคนเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ลดชั่วโมงทำงาน จะทำให้บุคลากรไหลออกจากระบบอยู่ดี
ส่วน “2 เพิ่ม” คือการทำให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีตั้งแต่ต้น และเพิ่มช่องทางอื่นๆ ในการรักษา เพื่อลดความแออัดและลดการรอคอยที่โรงพยาบาล ประกอบด้วย
เพิ่มที่ 1 เพิ่มความครอบคลุมในการรักษา ไม่ใช่เพียงการรักษาสุขภาพทางกายเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงสุขภาพทางใจ
เพิ่มที่ 2 เพิ่มแนวทางป้องกัน-รักษา-ประคับประคอง เช่น การคัดกรองมะเร็งให้ครอบคลุมและทำได้ทันที จากปัจจุบันการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง 6 ชนิด ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ก่อน ทำให้ใช้เวลายาวนานกว่าจะพบโรคและรับการรักษา รวมถึงเพิ่มวิธีการรักษาที่หลากหลายสำหรับโรคบางชนิด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มแนวทางการประคับประคองดูแลผู้ป่วยติดเตียง
ส่วน น.ส.ศิริกัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอชื่นชมการทำงานของ อสม. ที่สร้างคุณูปการต่อวงการสาธารณสุขของประเทศ ที่ทำหน้าที่ป้องกันโรคภัยและส่งเสริมสุขภาพ ในอนาคตเห็นว่า อสม. ไม่ควรเป็นเพียงอาสาสมัคร แต่สามารถทำเป็นอาชีพได้ โดยเพิ่มเติมการอบรมความรู้และเพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสมตามชิ้นงาน นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังพร้อมผลักดันให้ทุก รพ.สต. มีหมอประจำ หรืออย่างน้อยต้องมีบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อเพิ่มทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแพทย์และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโรงพยาบาล รวมถึงมีนโยบายสร้างแรงจูงใจให้คนดูแลสุขภาพ ผ่านการให้รางวัลแก่คนสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม เราตระหนักดีว่าการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจของประชาชน คนร่ำรวยอาจมีเวลาและทรัพยากรเพื่อใช้ดูแลสุขภาพของตัวเองได้มากกว่าคนยากจน ดังนั้น ขอยืนยันว่าหากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขไปพร้อมกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ต้นตอ ทั้งในเชิงการเมืองและเชิงเศรษฐกิจ ตามที่เราเคยประกาศว่ากาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต
สำหรับชุดนโยบาย “สุขภาพไทยก้าวหน้า” ของพรรคก้าวไกล ต้องการลดปริมาณงานของบุคลากรทางการแพทย์ ควบคู่กับการลดจำนวนคนไข้ที่ไปรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อลดปริมาณงาน ต้องกำหนดชั่วโมงการทำงานบุคลากรทางการแพทย์ไม่เกิน 60 ชม./สัปดาห์ เพิ่มค่าตอบแทน ค่าเวร ค่าโอทีบุคลากรทางการแพทย์เป็นธรรม สร้างแนวหน้าสาธารณสุข ต่อยอดจากงาน อสม. เป็น อสม. เฉพาะทางโดยจ่ายค่าตอบแทนตามชิ้นงาน แต่การลดปริมาณงานบุคลากรจะทำไม่ได้หากไม่มีการลดจำนวนคนไข้ ให้สามารถรักษาได้ใกล้บ้าน เน้นการป้องกันและส่งเสริมก่อนการรักษา
สำหรับด้านสุขภาพกายดี จะมีนโยบายตรวจสุขภาพประจำปี ฟรี! ทั้งค่าตรวจและค่าเดินทาง รวมคัดกรองมะเร็ง 6 ชนิดฟรี สำหรับกลุ่มเสี่ยง เพิ่มวัคซีนฟรี ลดการป่วยทั้งเด็กและผู้สูงวัย เช่น วัคซีนไข้เลือดออกและปอดอักเสบ สิทธิ 30 บาทครอบคลุมแว่นตาฟรีถึง 18 ปี ประชาชนที่รักษาสุขภาพดี มีรางวัล โดยการสะสมแต้มแลกของรางวัล
ด้านสุขภาพใจดี ตรวจสุขภาพประจำปีต้องมีตรวจสุขภาพจิตด้วย เปิดคลินิกเยาวชน ปรึกษาได้ ไม่ต้องรายงานผู้ปกครอง-โรงเรียน ดูแลสุขภาพจิตครบวงจร เพิ่มบุคลากร-ขยายบัญชียา-ใช้เทคโนโลยี สร้างแนวหน้าสุขภาพจิต ช่วยดูแล-บำบัด-ฟื้นฟูสุขภาพจิตของคนใกล้ตัว
ด้านการเพิ่มทางเลือกในการรักษาใกล้บ้าน ต้องยกระดับ รพ. สต. และศูนย์สาธารณสุขชุมชน Primary Care Unit (PCU) และปลดล็อกระบบการแพทย์ออนไลน์ Telemedicine
ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงพยาบาล ลดความแออัดในโรงพยาบาล มีห้องฉุกเฉิน (ER) กันไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ส่งต่อ-หาเตียงแบบไร้รอยต่อด้วยศูนย์รวมเตียง-ระบบเชื่อมข้อมูลสุขภาพ เพิ่มยอดบริจาคอวัยวะเชิงรุก ถามทุกครั้งที่ทำบัตรประจำตัวประชาชน
ด้านการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล มีกองทุนดูแลผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยติดเตียง งบประมาณเฉลี่ย 9,000 บาท/คน/เดือน ตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน อย่างน้อยอำเภอละหนึ่งแห่ง ตั้งธนาคารอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน นอกจากนี้ยังมีนโยบาย ‘ลาไปบอกลา’ เพิ่มสิทธิวันลาดูแลพ่อ-แม่ที่ป่วยระยะสุดท้าย และนโยบาย ‘ตายดี’ – สิทธิจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี สำหรับคนป่วยทางกายที่รักษาไม่ได้