17 ปี “ธรรมรักษ์”หลุดกรุการเมือง “บิ๊กป้อม” ขอพึ่งบารมีอีกรอบ
ศึกเลือกตั้ง คือตัวชี้วัด “บิ๊กแอ๊ด” เมื่อ 17 ปีที่แล้วภายใต้ชายคาพรรคไทยรักไทย กับปัจจุบันที่เปลี่ยนมาช่วยงาน พปชร. ชั้นเชิงเกมการเมืองพื้นที่ภาคอีสานยังเหมือนเดิม หรือหายไปแล้วตามกาลเวลา
ถือเป็นการกลับมาสู่สนามการเมืองอีกครั้งของ “บิ๊กแอ๊ด” พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ในรอบ 17 ปี หลังยุติบทบาทนับจากเหตุรัฐประหารเมื่อปี 2549 ขณะที่นั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม ยุค “ทักษิณ ชินวัตร”
ก่อนจะถูกเว้นวรรคการเมือง 5 ปี ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ปมจ้างวานพรรคเล็กลงเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบ “บิ๊กแอ๊ด” จึงปลีกตัวอยู่เงียบๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองหรือสนับสนุนพรรคการเมืองใดอีกเลย
ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 “บิ๊กแอ๊ด” เคยได้รับการเสนอชื่อ เป็นบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในนามพรรคพลังไทยรักไทย ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเพื่อชาติไทย ก่อนจะเงียบหายไป
วานนี้ (23 มี.ค.) “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มาต้อนรับ “บิ๊กแอ๊ด” เจ้านายเก่าที่เคยให้ความช่วยเหลือเมื่อครั้งรับราชการ หลังถูกจับเข้ากรุ จากแม่ทัพน้อยที่ 1 ไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ. เหตุเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ลา กระทั่งให้นั่งเก้าอี้ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และเป็น ผบ.ทบ.ในเวลาถัดมา
“บิ๊กป้อม” เปิดที่ทำการ พปชร.ต้อนรับ หลัง “บิ๊กแอ๊ด” หลังตกปากรับคำเข้ามาช่วยงานด้วยการดูแลภาพรวมในภาคอีสาน พื้นที่เก่าในอดีตที่เคยนั่งเป็นประธานภาคอีสาน สมัยพรรคไทยรักไทย ด้วยการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค
เพราะนโยบายก้าวข้ามขัดแย้ง สร้างความสามัคคีของคนในชาติของ “บิ๊กป้อม” โดนใจ “บิ๊กแอ๊ด” เข้าอย่างจัง ในฐานะเคยร่วมผลักดันนโยบาย 66/23 ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษและนโยบายใต้ร่มเย็นแก้ไขปัญหาไฟใต้
พล.อ.ประวิตร ยอมรับว่าทาบทาม พล.อ.ธรรมรักษ์ ให้มาช่วยดูภาคอีสาน เพราะมีประสบการณ์เคยดูภาคอีสานมา ว่าเราจะหาเสียงกันอย่างไร จะทำอย่างไร ทำให้พรรคเกิดความเข้มแข็ง
ต้องขอบคุณ พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่มาอยู่กับพลังประชารัฐ เป็นบุญคุณอย่างยิ่ง ถึงแม้ท่านจะอายุมาก แต่อายุไม่มีความสำคัญ สมองสำคัญกว่า เราทุกคนรับทราบด้วยว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ได้มาสังกัด พปชร.ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนในนามหัวหน้าพรรคต้องขอบคุณ และขอให้ทุกคนยืนขึ้นเพื่อต้อนรับ พล.อ.ธรรมรักษ์
ส่วน พล.อ.ธรรมรักษ์ ระบุว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาร่วมกับ พปชร.ในครั้งนี้ ธรรมดาตนวางมือวางการเมืองไปแล้ว แต่หัวหน้าพรรค พปชร.ชวนให้มาช่วยกัน “สิ่งที่ผมตัดสินใจมาร่วมคือ นโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง เพราะคนไทยแตกแยกรุนแรง เหลื่อมล้ำสูง ซึ่งปลายชีวิตราชการผมทำนโยบาย 66/23 ใต้ร่มเย็น การเมืองนำการทหาร จนสำเร็จมาด้วยดี เมื่อมีพรรคหนึ่งมีนโยบายที่จะทำเรื่องนี้ จึงตัดสินใจมาร่วมกัน สุขภาพผมยังดีอยู่ ไม่ต้องมาว่าแก่เกิน ด้วยความยินดีที่หัวหน้าพรรคให้เกียรติ ขอขอบคุณมาก”
ทั้งนี้คนในกองทัพ ยก “บิ๊กแอ๊ด” เป็นปรมาจารย์สายข่าว เพราะเติบโตมาจากงานข่าว ตั้งแต่เป็นหัวหน้าผลิตข่าวกรอง กรมข่าวทหารบก เป็นฝ่ายเสนาธิการ กรมข่าวทหารบก ก่อนจะย้ายไปอยู่ฝ่ายข่าวกองทัพภาคที่ 4 เป็นผู้บัญชาการข่าวกรองทางทหาร เป็นผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.)จนได้ฉายา “พิราบขาว”
แม้ “บิ๊กแอ๊ด” จะห่างร้างสนามการเมืองมาหลายปี แต่ไม่เคยทิ้งพื้นที่อีสาน ฐานเสียงเก่าในอดีตที่เคยทำให้พรรคไทยรักไทยกุม ส.ส.ได้ถึง 126 ที่นั่ง จาก 136 ที่นั่ง ด้วยกลยุทธ์ที่ดีไซน์ขึ้นมาเอง รวมถึงคัดเลือกผู้ลงสมัคร ไม่ว่าจะจิ้มชื่อใคร คนนั้นได้เป็น ส.ส.
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ภาคอีสานส่วนใหญ่ยังคงเป็นพื้นที่ในการครอบครองของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย แม้ที่ผ่าน“ บิ๊กป้อม”จะผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำและการแก้ปัญหาความยากนำร่อง พร้อมส่ง พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร พล.ต.อ.จักทิพย์ ชัยจินดา วิรัช รัตนเศรษฐ เข้าไปปูทางสร้างผลงานและเครือข่ายมวลชน แต่ยังไม่เห็นรูปธรรม
การเข้ามาเสริมทัพของ“ บิ๊กแอ๊ด” ในฐานะที่ปรึกษา ที่ “บิ๊กป้อม” เพราะเชื่อว่าชื่อนี้ยังขายได้ในภาคอีสาน โดยเฉพาะอีสานใต้ อย่าง สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ฯ ซึ่งจะเป็นพื้นที่ตั้งต้นแย่งเก้าอี้ ส.ส. ก่อนจะขยายไปยังจังหวัดอื่นๆอย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้นศึกเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นตัวชี้วัด “บิ๊กแอ๊ด” เมื่อ 17 ปีที่แล้วภายใต้ชายคาพรรคไทยรักไทย กับปัจจุบันที่เปลี่ยนมาช่วย งาน พปชร. ชั้นเชิงเกมการเมืองในพื้นที่ภาคอีสานยังเหมือนเดิม หรือหายไปแล้วตามกาลเวลา