"กรณ์" ชูชุดนโยบายแก้ปัญหาฝุ่นพิษ-ค่าไฟ หลังรัฐบาลเพิกเฉยแก้ปัญหา
"หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า" หดหู่ หลัง "อนุพงษ์" ไร้แนวทางแก้ปัญหาฝุ่นพิษ ภาคเหนือ ประกาศชุดนโยบายแก้ปัญหาลดการเผา-เจรจาเพื่อนบ้าน พร้อมมอง นโยบายขึ้นค่าไฟไม่เป็นธรรมแก้ได้โดยกองทุนโซล่าลูปท็อป
นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ปฏิเสธการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินในพื้นที่ที่เผชิญกับฝุ่นพิษ หรือ Pm2.5 ในระดับวิกฤตที่ทำให้ประชาชนป่วยกว่า 3,000 คน เนื่องจากไม่มีมาตรการรองรับและไม่ทราบว่าจะประกาศพื้นที่ใดบ้าง เพราะไร้เกณฑ์วัดคุณภาพอากาศ ว่า ใครฟังคงตกใจและหดหู่ใจ เพราะปัญหาดังกล่าวที่ถูกประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ 4 ปี แทนที่จะมีกะบวนการช่วยเหลือเฉพาะหน้า เช่น อุปกรณ์เครื่องรองรับบรรเทาปัญหา ทั้งหน้ากาก ยา เวชภัณฑ์ เครื่องฟอกอากาศ หรือแม้แต่การอพยพประชาชนที่อาจมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ ออกจากพื้นที่เสี่ยง ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน เพื่อจะได้มีการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า มีชุดความคิดที่เป็นข้อเสนอมาตรการระยะยาวในการแก้ปัญหาควันภาคเหนือที่ก่อให้เกิด PM 2.5 ที่ต้นเหตุมาจากการเผา ต้องแก้ที่ต้นตอด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ คือ ชักจูงให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนที่ไม่ต้องเผา คือ การปลูกป่าเศรษฐกิจจากพืช 58 ชนิด ที่ได้ปลดแอกให้สามารถปลูกได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีการจ่ายเงินเดือนให้กับเกษตรในจำนวนที่มากกว่าการปลูกไร่ข้าวโพด และในระยะยาวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ส่วนหนี่งจะเป็นของเกษตรกร และอีกส่วนหนึ่งสามารถผลิตเป็นคาร์บอนเครดิตได้ด้วย สิ่งเหล่านี้เราสามารถระดมทุนผ่านพันธบัตรป่าไม้ ขณะที่มาตรการด้านต่างประเทศ ต้องหารือกับประเทศเพื่อนบ้านเร่งประสานไปทางรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ และ สปป.ลาว เพื่อหามาตรการควบคุมการเผา ตามสัญญาในกลุ่มประเทศอาเซียน ว่าด้วยเรื่องของการคุ้มครองการสร้างสร้างมลพิษข้ามชายแดน
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า นอกจกากนั้น มีกรณีปัญหาค่าไฟฟ้าที่รัฐบาลจะปรับราคาค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือนแต่ลดให้กับภาคอุตสาหกรรม เป็นการปรับค่าไฟที่ไม่เป็นธรรม ทั้งนี้พรรคมีนโยบายเรื่องการปรับโครงสร้างไฟฟ้า โดยการเปิดเสรีเรื่องการผลิตและการขายไฟฟ้า เพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยี และมีกองทุนโซล่าลูปท็อป เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน ในการติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านตัวเอง โดยไม่มีภาระดอกเบี้ย และส่วนของค่าแผงโซลาร์เซลล์ ก็จะได้เงินคืนจากเงินที่ประหยัดจากค่าไฟที่ลดลง และส่วนของไฟฟ้าที่ผลิตเกิน ก็สามารถขายกลับเข้าสู่ระบบการไฟฟ้าได้