“ประวิตร” เผย ผมต้องทำให้ ฝ่ายซ้าย-ขวา อยู่กันได้ ชี้ มีคนก้าวร้าว ไล่พ้น ปท.
“ประวิตร” ชี้ หัวหน้าบางพรรค ก้าวร้าว ไล่คนไทยพ้นแผ่นดิน อันตรายต่อชาติ ย้ำ ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่ใช่พูดเอาเท่ สร้างภาพหาจุดขาย แต่ทำให้เห็นแล้ว ตอนแก้รธน. กติกาเลือกตั้ง แฉ “ประยุทธ์” เดินเกมเอาบัตรใบเดียว แต่ผมใช้อำนาจแบบนั้นไม่ได้ ต้องจัดการให้เดินหน้า
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า ชัยชนะที่ไม่ก่อความร้าวฉาน ตอนนี้การหาเสียงเริ่มที่จะแสดงออกด้วยการโจมตีกันรุนแรงมากขึ้นอีกแล้วจะเห็นว่าระดับผู้นำของพรรคการเมืองกลับมาเล่นงานคนที่มีความคิดแตกต่างกับตัวด้วยท่าทีก้าวร้าว ขนาดขับไล่ไสส่งให้ ไปเสียให้พ้นจากแผ่นดินไทย
ขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ประกาศกร้าวตัดขาดที่จะร่วมมือกับฝ่ายกีดกันไว้เป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นบรรยากาศที่แบบชี้หน้าคนเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ด้วยท่าที่ของการปลุกระดม ให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความเป็นไปที่มีแนวโน้มเช่นนี้ ย่อมถือว่าอันตรายอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันเป็นชาติที่ประชาชนมีความร่วมมือร่วมใจซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้
ผมจึงต้องมาย้ำอีกครั้งว่าประเทศไม่มีทางออกอื่น นอกจากต้องร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้งและขอให้รู้ว่า ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ และขอให้ทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมมาพูดเอาเท่หรือสร้างจุดขายที่แตกต่างของการเป็นผู้นำการเมืองอย่างที่หลายๆคนพยายามคิด และพูดกันไปไม่ได้ตั้งใจสร้างภาพให้เกิดความต่างเพื่อเป็นตัวเลือกใหม่หรืออะไรอย่างนั้น
แต่ผมรู้สึก และเกิดเป็นความคิดจริงๆว่า การเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้หากไม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง และผมขอบอกว่า เป็นความรู้สึก และความคิดที่เกิดจาก ประสบการณ์ อันหมายถึงการได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสรับรู้มา จากคนในทุกกลุ่ม ทุกวงการ ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ชินกับการจัดการด้วยอำนาจ และ ฝ่ายเสรีนิยมที่มีธรรมชาติของการเปิดรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่า
ผมเห็นจุดอ่อน และจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่มีทางจะทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามพ่ายแพ้อย่างราบคาบ โดยฝ่ายตัวได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด เพราะเห็นเช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ หาทางทำให้ประเทศมีทางออกจาก “วงจรอันสิ้นหวังของการร่วมกันอย่างสุขสงบ”นี้ให้ได้เสียที
มีคำถามว่า ผมจะทำอะไร ผมอยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงนั้นผมทำเรื่อง ก้าวข้ามความขัดแย้งมาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นการทำอย่างเงียบๆ และโดยใช้ ความเป็นผมทั้งหมดเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คำตอบในเรื่องนี้ เห็นได้ไม่ยากหากย้อนไปทบทวนช่วง รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญจาก เลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว มาเป็นสองใบ และแก้ตัวหารคะแนนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จาก 500 มาเป็น 100
ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งรุนแรง พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเห็นไปทางเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เอาด้วยกับแนวทางนั้น ต้องการให้เลือกด้วยบัตรใบเดียว ปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เหมือนเดิมเพราะมองไม่เห็นว่าแก้ไขแล้วพรรครัฐบาลจะมีโอกาสชนะพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ มีสมาชิกและเครือข่ายฐานเสียงมากกว่าได้อย่างไร
ขณะที่พรรคการเมืองบางพรรคโจมตี ส.ว.อย่างรุนแรง ทำนองว่า เป็นส่วนเกินที่ให้ผลในทางเลวร้ายต่อประชาธิปไตย ไม่ควรจะออกมาใช้สิทธิแสดงความคิด ออกเสียงสร้างความเกลียดชังต่อกันรุนแรง ตอนนั้นผมเป็นผู้นำ พลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีแรงกดดันมากมายทั้งในพรรคและนอกพรรค
อย่างที่รู้ๆกันว่าแม้แต่ ผู้นำในทำเนียบรัฐบาลก็ส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดว่า ต้องกลับเป็นบัตรใบเดียว และปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เพื่อความได้เปรียบของพรรคร่วมรัฐบาล ตัดโอกาสที่จะชนะของพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่
เป็นผมเองที่เห็นว่า จะใช้อำนาจทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงเวลาที่จะต้องจัดการให้การเมืองเดินหน้าไปโดยยึดหลักการประชาธิปไตย แต่ความยากอยู่ที่จะคุยอย่างไร ให้เสียงส่วนใหญ่ทำตามอย่างที่ผมเห็น ยากตรงที่มีการโจมตี ส.ว.ด้วยถ้อยคำรุนแรงมากมาย จนมองไม่เห็นว่าจะดึงอารมณ์ให้กลับมาพูดดีๆ อย่างเข้าอกเข้าใจกันได้อย่างไร
ตอนนั้น แม้แต่ในพรรคพลังประชารัฐยังมีแค่ไม่กี่คนที่เข้าใจในแนวทางแบบที่ผมเชื่อว่า ต้องยืนหยัดในหลักประชาธิปไตย แต่ด้วยความเข้าใจในอนุรักษ์นิยม
ลองไปค้นข้อมูลกลับมาดูได้ จะเห็นว่าแม้แต่ นายกฯตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชายังถูกมองว่าไม่เอาด้วยกับการแก้ไขบัตรเลือกตั้ง โดยช่วงนั้นนักการเมืองที่รู้กันว่าเป็นสายตรงนายกฯออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านชัดเจน
เป็นภารกิจที่ยากทีเดียวในการพูดคุยหาทาง ก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าในหลักการประชาธิปไตย
โดย ฟากอนุรักษ์นิยมให้ความร่วมมือ ทั้งที่ถูกโจมตีหนักจาก ฝ่ายเสรีนิยมแต่ ผมทำได้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ สำเร็จตามความตั้งใจและลงมือด้วยประสบการณ์ และความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่ายที่ผมสร้างสมมา
แม้วันนี้จะมีคนโจมตีว่าผมเป็นเผด็จการจำแลง ผมก็เพียงบอกตัวเองว่า ผมอาจจะอธิบายจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่มีในตัวผมยังไม่ชัด ซึ่งเป็นหน้าที่ของผมว่าจะต้องอธิบายต่อไป
ผมขอยืนยันว่า ถึงวันนี้ประเทศเรายังไม่มีคำตอบอื่น นอกจากทำให้อนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นแก่นของความเป็นชาติ อยู่ด้วยและร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาไปด้วยเสรีนิยมที่มีความคล่องตัวและได้รับการสนับสนุนจากนานาประเทศมากกว่า
ซึ่งผมเชื่อว่า ผมทำได้ และผมต้องเป็นคนทำ เพียงแต่ เมื่อถึงวันนี้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าเป็นกังวลอย่างยิ่ง
การหาเสียงเลือกตั้งที่มุ่งแต่ชัยชนะ ก่อให้เกิดการโจมตีกันรุนแรง จนมองเห็นแนวโน้มของความแตกแยก ถึงขั้นขับไสไล่ส่งไม่ให้อยู่ร่วมชาติ เกิดขี้นอีกแล้ว ทั้งที่ทุกเรื่องมีวิธีการแก้ไขหากทุกฝ่ายร่วมมือกันคิดทำ โดยก้าวข้ามความขัดแย้ง
แค่อย่าหักโหมที่จะเอาชนะกัน เสียจนลืมว่าเป็นการดีกว่าหากเปลี่ยนเป็นร่วมมือทำงานเพื่อชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ร่วมกันในฐานะประชาชนชาวไทยที่เป็นหนึ่งเดียว
ผมขอจบ Facebook ฉบับที่ 10 และในฉบับที่ 11 ผมจะพูดถึงเรื่อง เป็นนายกต้องให้เกียรติสภาอย่างไร โปรดติดตาม