"ปานปรีย์" เปิดข้อมูล 19 กันยา 49 ในวันค้นเครื่องบินหาตัว "ทักษิณ"
“ปานปรีย์” เล่าเหตุการณ์ 19 ก.ย.2549 วันรัฐประหาร บินกลับไทยในฐานะ หัวหน้าคณะผู้แทนการค้าไทย ไม่มีทหารควบคุมตัว-คลุมถุงดำ-อายัดบัญชี ส่วน “พิธา” ติดเครื่องกลับในฐานะหลานเลขาฯ ส่วนตัว “ทักษิณ"
กรณีหัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวที่ต้องเผชิญในเหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยระบุว่า ได้ถูกควบคุมตัว รวมถึงถูกอายัดบัญชีการใช้จ่าย โดยเขาได้กล่าวถึง ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าไทยในขณะนั้น ที่เดินทางกลับจากปฏิบัติภารกิจในสหรัฐอเมริกาในเที่ยวบินเดียวกัน
ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปัจจุบันเป็นคณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เล่าถึง เหตุการณ์ที่ถูกอ้างถึง ว่า ช่วงปี 2549 ตนเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการค้าไทย รับผิดชอบอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ โดยวันนั้นอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ก็มีภารกิจที่ UN และตนเองก็ต้องไปปฏิบัติภารกิจด้วย ซึ่งระหว่างที่กำลังจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เวลาประมาณ 10 โมง ตามเวลาท้องถิ่น ก็มีข่าวว่าประเทศไทยเกิดการรัฐประหาร จึงยกเลิกกำหนดการทั้งหมด และเดินทางกลับประเทศไทย โดยช่วงเย็นวันที่ 19 ก.ย.2549 เวลา 17.00 น. ได้เดินทางไปยังสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับไทย
ระหว่างนั้น นายกฯ ทักษิณ ยังเดินทางไม่ถึงสนามบินนิวยอร์ก แต่นายกฯ กลับมาถึงสนามบินตี 5 ของอีกวัน ทั้งหมดที่อยู่บนเครื่องบิน ต่างอ่อนล้า เพราะอยู่บนเครื่องบินตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึงตี 5 หลังจากขึ้นเครื่องบิน มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาบอกกับตนเองว่า ฝากน้องพิธากลับประเทศไทยด้วย เพราะมาเรียนอยู่ที่นิวยอร์ก ซึ่งตนก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เห็นเป็นนักศึกษา และไม่คิดว่าวันนี้จะมาเป็นนักการเมือง จากนั้น ทั้งคณะก็ออกเดินทางจากนิวยอร์ก
เมื่อเครื่องบินมาถึงประเทศไทย ได้รับแจ้งว่า เครื่องน่าจะเข้าสนามบินดอนเมืองได้ ไม่น่ามีปัญหา และนายกฯ ทักษิณ ได้เดินทางถึงนิวยอร์กแล้ว แต่หลังจากที่เครื่องลงจอดที่สนามบินดอนเมืองได้ครึ่งชั่วโมง เครื่องจอดนิ่ง จึงประเมินสถานการณ์ว่า คงไม่สู้ดี เลยเดินทางจากที่นั่งด้านหน้า ไปท้ายเครื่องบิน ซึ่งมีนักข่าว เจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรี และข้าราชการนั่งอยู่ ซึ่งตนได้เจอกับนายพิธาอีกครั้ง จึงบอกว่า ได้ถูกยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว เครื่องบินลำนี้คงจะเข้าไปจอดที่ บน.6 และขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ คิดว่าทหารคงไม่ทำอะไรกับคณะในเครื่องบินลำนี้ ที่มาถึง
ส่วนนายพิธา จะขึ้นมาในฐานะผู้ช่วยของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในตอนนั้นหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่ตอนนั้นทราบเพียงว่า นายพิธาเป็นหลานของนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัวของนายทักษิณ จึงไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเครื่องบินมีที่ว่าง ใครจะติดสอยมาด้วยก็ได้ ตนไม่ทราบเรื่องว่า นายพิธามาในฐานะผู้ติดตามใคร เพราะตนเองก็เป็นนักการเมืองคนหนึ่ง ที่มาทำงานต่างประเทศ ใครจะอาศัยเครื่องบินกลับมา ก็ไม่ทราบ นอกจากคนที่จะรู้จักกัน เช่น สื่อมวลชนบางส่วน ที่คุ้นหน้ากันอยู่แล้ว
หลังจากนั้น มีทหารขึ้นมาตรวจบนเครื่องบิน ไม่นานก็ลงจากเครื่องไป และปล่อยทุกคน บนเครื่องบินออกมา ซึ่งตนเองถูกปล่อยตัวให้กลับบ้านทันที ไม่ได้ถูกเชิญตัวไปคุมขัง หรือถูกคลุมถุงดำ แต่ของคนอื่นตนไม่ทราบ เพราะทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปแล้ว ทุกคนเดินตามหลังออกมา และบางส่วนก็ไปรอรับกระเป๋าเดินทาง ไม่เห็นมีปัญหา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง กรณีที่นายพิธา ให้สัมภาษณ์กับพิธีกรชื่อดังคนหนึ่งว่า ถูกจับกุมคลุมถุงดำ และกักขังหลายชั่วโมง และถูกอายัดบัญชีการเงินนั้น ดร.ปานปรีย์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริง ตนก็ไม่สามารถทราบได้ ต้องไปถามนายพิธา แต่ตนไม่ได้ถูกอายัด หรือถูกกระทำใดๆ เลย กลับบ้านเหมือนผู้โดยสารปกติทั่วไป ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ณ ขณะนั้น ตนเองเป็นหัวหน้าผู้แทนการค้าไทย เป็นนักการเมือง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งในเครื่องบินลำดังกล่าว ตนเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุด
"ไม่ทราบ สถานะของคุณพิธาในขณะนั้น ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงเป็นน้องคนหนึ่งไปเรียนเมืองนอก เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งบอกไปว่า กลับมาเมืองไทยแล้วขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่สูญเสียคุณพ่อ ซึ่งผมได้พูดแค่นั้นกับคุณพิธา และไม่ได้เจอกันอีกเลย จนวันนี้คุณพิธาเป็นนักการเมือง" ดร.ปานปรีย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในวันดังกล่าว มีข้อมูลจากคณะเจ้าหน้าที่ไทย ที่ไปปฏิบัติภารกิจกับนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้น ระบุว่า อดีตนายกฯ ที่ทราบเรื่องรัฐประหารในประเทศไทย จึงไม่ได้เดินทางกลับมา มีเพียงคณะเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ที่โดยสารกลับมาในเที่ยวบินลำดังกล่าว ท่ามกลางการคาดหมายในประเทศไทยว่า อดีตนายกฯ อาจจะเดินทางกลับมาด้วย เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้เตรียมขึ้นมาเชิญตัวไปควบคุมแต่ไม่พบ และได้สอบถามผู้ที่เดินทางกลับมา จึงทราบว่าอดีตนายกฯ ไม่ได้กลับมาด้วย