ปลุก“แต้มส้ม” ล้ม “นิติสงคราม” ทางรอด“ก้าวไกล” สกัดแผนโดดเดี่ยว
"ขณะนี้ฟีเวอร์ของคุณพิธาก็แซงคุณธนาธรไปแล้ว ในขณะที่กระแสฟีเวอร์ของพรรคก้าวไกลก็ขึ้นสูงกว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่แล้วคิดว่าจะสามารถเป็นเกราะป้องกันนิติสงครามได้” “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล และอดีตเลขาการพรรคอนาคตใหม่
โค้งสุดท้าย100เมตรสุดท้ายก่อนชี้ชะตาอนาคตประเทศผ่านการออกเสียงเลือกตั้งส.ส.ในวันที่14พ.ค.นี้ ความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคการเมือง ต่างฝ่ายต่างงัดสารพัดกลเม็ดออกมาต่อสู้กันอย่างดุเดือด
โดยเฉพาะ “พรรคก้าวไกล” ยามนี้เจอเกมเตะสกัดด้วยพิษหุ้นสื่อITV ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล อันอาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญและอาจนำไปสู่การยื่นยุบพรรคเช่นเดียวกับพรรคอนาคตใหม่ในอดีต
ความเห็นถึงกลเกมต่างๆที่เกิดขึ้นผ่านมุมมอง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล และอดีตเลขาการพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “คมชัดลึก” ดำเนินรายการโดย “วราวิทย์ ฉิมมณี” ออกอากาศทาง nationtv22
โดยไล่เรียงตั้งแต่ประเด็นกลยุทธ์รวมถึงเป้าหมายของพรของรคในช่วงโค้งสุดท้าย “ปิยบุตร” ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้จากที่เคยพูดว่าพรรคก้าวไกลยังแก้เกมแลนด์สไลด์พรรคเพื่อไทยไม่ได้ แต่จนถึงวันนี้เมื่อประเมินจากผลสำรวจรวมถึงกระแสที่เราไปเจอเองในการหาเสียง หรือในเรื่องโซเชียลคิดว่า พรรคก้าวไกลแก้เกมแลนด์สไลด์พรรคเพื่อไทยได้แล้ว
การที่เขาแก้เกมออกมาได้นั้น มาจากการแสดงจุดยืนที่ทำให้เห็นความแตกกต่างกับ “พรรคเพื่อไทย” ได้อย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นจุดยืนเกี่ยวกับการร่วมรัฐบาลซึ่งพูดมาตั้งแต่แรกๆ เรื่องการออกแบบวิธีคิดของนโยบายทางเศรษฐกิจซึ่งถ้าดูจริงๆ2พรรคนี้วิธีคิดไม่เหมือนกันเลย ทั้งวิธีคิดว่าจะแบ่งเค้กให้ใหญ่ก่อนหรือจะแบ่งเค้กให้เป็นธรรมก่อนที่แตกต่างกันชัดเจน
อีกเรื่องหนึ่งคือการแสดงตัวเองว่า เป็นตัวแทนของพลังแบบใหม่ในสังคมไทยส่วนตัวคิดว่าเขาทำได้สำเร็จ นอกจากนี้เขายังทำให้คนเชื่อมั่นได้ว่าเขาจะชนะในหลายๆเขตเลือกตั้ง พอทำเรื่องเหล่านี้สำเร็จจึงมองว่าเขาสามารถแก้ปัญหาแลนด์สไลด์ออกได้
“ในช่วงแรกเหมือนยังอยู่ในร่มระหว่างร่มประชาธิปไตยและร่มฝ่ายค้าน แต่พอลงสนามเลือกตั้งเขาเริ่มออกไปดีเบต จัดการปราศรัยในที่ต่างๆรวมถึงแคมเปญรณรงค์มันแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจนว่าแตกต่างจากเพื่อไทย บวกผลสำรวจช่วงท้ายๆคะแนนของคุณพิธา และก้าวไกลพุ่งขั้นสูงอย่างเห็นได้ชัด วันนี้ไม่ใช่แค่เขตเมืองแต่เมื่อออกจากตัวเมืองก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน”
- เกม “นิติสงคราม”ขุดหุ้นสื่อ “พิธา”
เมื่อถามถึงกรณีมีความพยายามในการหยิบประเด็นการถือครองหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชนของนายพิธา ในลักษณะเดียวกันกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในสมัยพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตร กล่าวว่า ผมเรียกมันว่า กระบวนการนิติสงคราม คือจัดการทำลายล้างตามกระบวนการของกฎหมาย เป็นหนังม้วนเดิมที่ฉายมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร2549 วิธีการจะหยุดหนังม้วนนี้ได้เชื่อว่ากระบวนการทางกฎหมายก็ต้องสู้กันไป
ต้องยอมรับว่าอำนาจในการเขียนคำวินิจฉัยหรือชี้เป็นชี้ตายทางกฎหมาย คือปากกาอยู่ที่พวกเขา ฉะนั้นวิธีการต่อสู้กับเรื่องนี้ คือเอาอำนาจกับอำนาจวัดกัน อำนาจของเขาคือมีปากกาเขียนคำวินิจฉัยหรือคำร้องต่างๆได้ แต่อำนาจของฝ่ายทางก้าวไกลต้องประกอบกัน3เรื่อง
1.ต้องมีจำนวนส.ส.ให้มากที่สุด ชนิดที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เช่นรอบที่แล้วอนาคตใหม่ได้ 80 เกิดงวดนี้คุณทะลุ 100 ขึ้นไป
2. คะแนนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศที่กาก้าวไกลไม่ว่าจะเป็นบัตรใบแรกหรือใบที่สองต้องมีคะแนนป็อบปูล่าโหวตให้เกิน 10-12ล้านคะแนนขึ้นไปหรือราว 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ
และสุดท้ายคือภาพมวลชนอันไพศาลที่ออกมาแสดงตัวให้เห็นในการปราศรัยทุกเวทีที่พรรคก้าวไกลไปตั้งแต่เหนือสุด ใต้สุด อีสาน มาตะวันออก มาภาคกลาง ไปตะวันตกเป็นภาพเดียวกันทั้งหมด
“ถ้าวันที่ 14พ.ค. คนออกมาถล่มทลายคิดว่าทั้ง3องค์ประกอบจะแสดงให้เห็นว่าอำนาจของพรรคก้าวไกล คลื่นสูงแม้ว่าอำนาจในการเขียนคำร้องจะอยู่ที่อีกฝ่ายก็ตาม”
- ปลุก “พลังส้ม”เกราะป้องกัน “นิติสงคราม”
ปิยบุตร ยังมองว่า “สถานะนี้ต่างจาก4ปีที่แล้วของพรรคอนาคตใหม่ที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ากระแสนิยมจะขึ้นเท่าไร แม้จะมีฟีเวอร์ของธนาธร ซึ่ง
ขณะนี้ฟีเวอร์ของคุณพิธาก็แซงคุณธนาธรไปแล้ว ในขณะที่กระแสฟีเวอร์ของพรรคก้าวไกลก็ขึ้นสูงกว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่แล้วคิดว่าจะสามารถเป็นเกราะป้องกันนิติสงครามได้”
เมื่อถามย้ำว่า ในทางกฎหมายหากที่สุดแล้ว “พิธา” มีคุณลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญอะไรจะเกิดขึ้น ปิยะบุตร เชื่อว่า หากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นเพียงการตัดสิทธิ์คุณสมบัติส.ส.ของ “พิธา” เฉพาะบุคคลแต่จะไม่ถึงขั้นยุบพรรคเหมือนครั้งอนาคตใหม่ ยกเว้นว่ากกต.จะดำเนินคดีอาญาต่อ
“ครั้งนี้คิดว่าบทเรียนของพรรคอนาคตใหม่ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ตัดคุณธนาธร ตัดผม ตัดคุณพรรณิการ์ หรืออีกหลายหลายคนไป พรรคเขาก็ไปต่อได้และร้อนแรงกว่าเดิม
เพราะกลุ่มนี้ทั้งกลุ่มเริ่มสร้างความเป็นสถาบันการเมืองมาได้แล้ว ผมยังเชื่อว่าคุณพิธา ยังไงก็ต้องไปต่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วไม่เหมือน4ปีที่แล้ว”
- “อาวุธลับ-หมากการเมือง” มุกเก่า20ปี
เมื่อถามว่า กรณีนี้มีการนำไปเปรียบเทียบในยุครัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ในประเด็นการถือหุ้นที่ตัดสินใจประกาศยุบสภาเมื่อปี2549แล้วใช้ พลังของประชาชนมาชนะคะคาน จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ปิยะบุตร กล่าวว่า ประเด็นนี้เรากำลังบอกว่าเป็นเรื่องในทางกฎหมาย แต่เบื้องหลังก็เป็นการเมือง ไม่ใช่กฎหมายหรือเรื่องของความยุติธรรมแต่เพียงอย่างเดียว
แต่เป็นการออกแบบกฎหมายเพื่อให้วันนึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ทำกันมา 20 ปีแล้วจุดประสงค์ในการเขียนลักษณะต้องห้ามของส.ส.ในรัฐธรรมนูญเรื่องการถือหุ้นสื่อคือ กลัวนักการเมืองครอบงำสื่อ ส่วนตัวมองว่า เป็นการเขียนข้อห้าม ที่ล้าสมัยแต่ก็ยังจะเขียนเพื่อเอาไปใช้เป็นประเด็นทางการเมือง
ฉะนั้นเรื่องนี้จึงอยู่ที่วิธีคิดทางการเมืองโดยเอากฎหมายมาเป็นอาวุธ ฉะนั้นการที่จะเอาชนะได้ก็ต้องใช้การเมืองเพื่อเอาชนะ
ปิยะบุตร ยังกล่าว ถึงเป้าหมายของพรรคก้าวไกลในการกวาดส.ส.เขตรอบนี้ว่า จากการที่นชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุว่าเป้าหมายของพรรคก้าวไกลรอบนี้อยู่ที่ส.ส. 160 คน ซึ่งรวมทั้งในระบบเขตและบัญชีรายชื่อ วิธีคิดของพรรคก้าวไกลรอบนี้คือมองเขตที่ “ได้” ผสมกับเขตที่ “ลุ้น” ซึ่งเราต้องทำให้เขตที่ลุ้นเป็นเคสที่ได้ให้ได้แล้วอย่าให้เขตที่ได้ลงไปเป็นที่สอง
- สู้คะแนนจัดตั้ง-อย่างกังวล “เสียงตกน้ำ”
ทั้งนี้จากที่ได้ลงพื้นที่กระแสตอบรับพรรคก้าวไกลสูงมากแต่ก็ต้องยอมรับว่า พรรคก้าวไกลดำเนินการเมืองโดยไม่มีคะแนนจัดตั้ง ไม่มีกลไกในพื้นที่ ดังนั้นจึงอยู่ที่กระแสอย่างเดียว ฉะนั้นจะเปลี่ยนกระแสให้เป็นคะแนนได้อย่างไรตนมีความเห็นว่า พรรคก้าวไกลในแต่ละเขตเวลาที่ชนะชนะไม่เยอะ
ดังนั้นความสำคัญจึงอยู่ที่ว่าใครที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลต้องช่วยกันเลือกอย่าลังเลอย่าคิดว่า “ตกน้ำ” หรือ “แบ่งใจ” ซึ่งจะช่วยได้ ทุกคะแนนถือว่ามีค่าเป็นอย่างมาก
- ถามเพื่อไทยผวา “เสียงตกน้ำ?”
ปิยะบุตร ยังกล่าว ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยพยายามปลุกกระแสถ้าเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ “3ป.” จะกลับมาว่า วิธีคิดของพรรคเพื่อไทยที่กำลังพูดถึงเรื่องคะแนนตกน้ำ ส่วนตัวมองว่า
คะแนนไม่มีการตกน้ำแน่แน่ ถ้าใช้ระบบเลือกตั้งเหมือนปี 2562 เพราะทุกคะแนนมีความหมาย แล้วคุณไปแก้กติกาเลือกตั้งทำไม การที่คุณแก้กติกาเลือกตั้งแสดงว่าคุณต้องยอมรับว่าต้องเลิกคิดเรื่องคะแนนตกน้ำ แต่ต้องมาแข่งกัน ถ้าคุณซีเรียสเรื่องคะแนนตกน้ำต้องไปใช้ระบบเหมือนเยอรมนี คือ “ระบบสัดส่วนผสม” หรือใช้เหมือนระบบเลือกตั้งปี62ทุกคะแนนมีความหมายไม่มีการตกน้ำแน่นอน
“วันนี้ถ้าจะซีเรียสเรื่องคะแนนตกน้ำ ผมมีวิธีที่เคยพูดมาตั้งแต่แรกแต่ไม่ใช้กันคือ การพูดคุยเจรจาในต่างประเทศ เมื่อเขารู้ว่าคะแนนฝ่ายซ้ายที่จะเป็นรองฝ่ายขวาเขาจะมานั่งคุยกันก่อนและสลับเขตกันลง กฎหมายของเขาทำได้ แต่ของเราไม่รู้ว่าจะตีความว่าเป็นฮั้วหรือไม่แต่คราวที่แล้วพรรคเพื่อไทยก็ทำกับไทยรักษาชาติมา ก็ไม่เคยมีใครมาตีความว่าฮั้ว
ดังนั้นถ้าจะจริงใจกับเรื่องนี้จริงๆทำไมไม่มีการพูดคุยกันก่อน ซึ่งผมเชื่อว่าก็คงไม่สามารถพูดคุยกันได้เพราะแต่ละพรรคก็มีผู้สมัครของตนเอง ผู้สมัครเหล่านั้นก็อาจคิดว่าทำไมต้องเสียสละฉะนั้นตรงนี้มันผ่านไปเรียบร้อยแล้ว”
- ยก “พังงาโมเดล” สูตรหลบเขตขั้วเสรีนิยม
ปิยบุตร ยังยกตัวอย่าง คิดว่ามีอยู่หนึ่งเคสที่จะพูดถึงการแก้ปัญหาคะแนนตกน้ำได้ดีที่สุดคือ “จังหวัดพังงา”เขต2 ที่พรรคก้าวไกลไม่ได้ส่งผู้สมัคร แต่พรรคเพื่อไทยส่งนายกฤษ สีฟ้า นั่นหมายความว่า คะแนนคนเลือกก้าวไกลในเขตดังกล่าวก็คงไปกาให้นายกฤษเป็นผู้แทน เชื่อว่าเขตดังกล่าวน่าจะเกิดจากวิธีคิดของคนทำงานในพื้นที่มากกว่า
ปิยะบุตร ยังกล่าวว่า วันนี้ผลโพลหลายสำนักได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าการเลือกตั้งรอบนี้ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจะชนะแบบถล่มทลายแน่นอน ต่างจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562
ซึ่งตนขอยืนยันว่า คะแนนไม่ตกน้ำอย่างแน่นอน มีแต่คะแนนจะไหลมาที่ฝั่งประชาธิปไตยเพียงแต่ว่าจะลงคะแนนให้ใคร เหมือนที่นายชัยธวัชเคย บอกว่า เรือล่มในหนองทองจะไปไหน คือจะไปเพื่อไทยหรือก้าวไกลเท่านั้นเองไม่ใช่จะไหลไปที่ที่3หรือที่4ที่จะแซงมาเป็นที่1ไม่ได้แน่แน่
“ฉะนั้นถ้าตัวเลขออกมาแบบนี้เลิกกังวลเรื่องคะแนนตกน้ำแล้วมาพูดกันตรงไปตรงมามาแข่งกันแล้วให้ประชาชนตัดสินใจว่าชอบแบบไหน ชอบเพื่อไทยก็กาเพื่อไทย ชอบก้าวไกล ก็กาก้าวไกล ไม่ใช่ว่าชอบก้าวไกลแต่ต้องไปกาเพื่อไทย หรือชอบเพื่อไทยแต่ต้องไปกล้าก้าวไกล”
- ฝากเพื่อไทยสู้กันที่นโยบาย
เมื่อถามถึงกรณีที่ถูกทางพรรคเพื่อไทยออกมาตอบโต้กรณีวิจารณ์นโยบายพรรคเพื่อไทย ปิยบุตร มองว่า เรื่องนี้ควรพูดกันอย่างตรงไปตรงมา เช่นกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ทวิตข้อความระบุว่า บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้วไม่ใช่เวลาของคนที่จะมาลองของ เรื่องนี้ควรพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่ต้องสู้กันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ด่าว่าเขา แต่เมื่อตัวเองโดนวิพากษ์วิจารณ์กับคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อ
เรื่องของนโยบายพรรคการเมืองแข่งกันก็ต้องสู้กันที่นโยบายก็วิจารณ์นโยบายกัน เช่นในส่วนของพรรคก้าวไกลที่ตั้งโจทย์ในเรื่องสวัสดิการถ้วนหน้าไม่เน้นที่การเติมเงินในกระเป๋าตนได้รับบรีฟไปหาเสียงก็ต้องพูดแบบนี้ เพราะพี่น้องกับประชาชนกำลังตัดสินใจว่าจะเติมเงินในกระเป๋าหรือจะเอาสวัสดิการ
ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็มีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกันผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็ควรจะยอมรับความจริงได้แล้วว่า การเมืองในระบบประชาธิปไตยในระบบสภาการเลือกตั้งรอบนี้มันเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไปแล้ว ไม่ใช่ระบบที่จะมีพรรคใหญ่พรรคเดียวในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องยอมรับว่ามันมีอีกพรรคหนึ่งแล้วจะแข่งขันกันอย่างไรหรือจะร่วมรัฐบาลกันอย่างไรมากกว่า
- จับตาอำนาจพิสดารโดดเดี่ยว “ก้าวไกล” -สกัดพท."แบก"
ปิยบุตร ยังมองโอกาส “สูตรจับขั้ว” ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลว่า ถ้าการเมืองไทยหรือรัฐธรรมนูญเป็นสภาวะปกติไม่มีอำนาจพิสดารหรืออำนาจพิเศษ ผมว่า มันก็เป็นธรรมดาขั้วฝ่ายค้านก็คานอีกขั้วหนึ่งมาตลอดเวลา
“วันนี้เลือกตั้งขั้วฝ่ายค้านกำลังชนะขาดก็ควรจะต้องเป็นกลุ่มก้อนฝ่ายค้านเดิมทั้งหมดที่จะมาตั้งรัฐบาลซึ่งในความเป็นจริงไม่ควรจะมีคำถามนี้แต่จะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ”
เพียงแต่ว่าระบบในปัจจุบัน ยังมีคราบไคลของการสืบทอดอำนาจอยู่ ดังนั้นตนจึงเข้าใจข้อจำกัดที่พรรคเพื่อไทยแบกรับทำให้พรรคเพื่อไทยต้องพูดว่าตนเองต้องเยอะที่สุดเพื่อที่จะตัดปัญหาในการจับมือกับใคร
ในส่วนของก้าวไกลข้อจำกัดตรงนี้เขาน้อยกว่า เพราะถ้างวดนี้ได้เป็นรัฐบาลก็เป็น แต่ถ้าไม่ได้เป็นเพราะต้องไปแบกรับเงื่อนไขอะไร ผมเชื่อว่าเขาก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านอีกรอบหนึ่ง
ดังนั้นจึงต้องมองพรรคเพื่อไทยอย่างเข้าใจว่าเขาเป็นพรรคใหญ่เขาต้องการเป็นรัฐบาลรอบนี้หากไปประกาศว่าจับกับก้าวไกลตั้งแต่ก่อนรู้ผลเลือกตั้ง เมื่อถึงเวลาหากมีอำนาจพิเศษที่ไม่ต้องการให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาลก็เป็นธรรมดาที่จะแบกไปด้วยกันไม่ได้
ส่วนที่มีความพยายามที่จะพูดในประเด็นการลดเพดานบางประการของพรรคก้าวไกลก็ต้องเข้าใจเช่นกันว่าพรรคก้าวไกลก็มีโหวตเตอร์ของเขาเช่นเดียวกัน
- ปลุกเสียงก้าวไกลชนะถล่มทลาย
“สำหรับผมยังเชื่อว่าการที่พรรคก้าวไกลจะเป็นรัฐบาลได้ จะต้องเป็นที่1เท่านั้น เมื่อนโยบายพรรคก้าวไกลขัดกับคนอื่นก็ต้องเป็นที่1เท่านั้น เพื่อให้มีสิทธิ์ในการตั้งรัฐบาลและสามารถเลือกกระทรวงได้ก่อน ถ้าเกิดเขาไม่ได้เป็นที่1เขาจะมีโอกาสถูกกันออกไปก่อนด้วยอำนาจพิเศษสารพัดอย่าง”
ส่วนที่นายธนาธร บอกว่า ปี 2570 พรรคก้าวไกลจะปักธงเป็นรัฐบาล ปิยะบุตรมองว่า ผมเป็นคนมักน้อยเรื่องนี้ต้องว่ากันไปตามกระบวนการที่จะต้องใช้เวลา ไม่สามารถใช้กระแสได้เพียงอย่างเดียวแต่จะต้องค่อยค่อยเปลี่ยนความคิด แต่เชื่อว่าในการเลือกตั้ง 2566 คนมีความคิดแบบใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเชื่อว่า กำลังเหล่านี้ยังไม่พอต้องมากกว่านี้ซึ่งต้องดูสถานการณ์ระหว่างทางว่าจะเป็นอย่างไร
ปิยะบุตร ยังกล่าวย้ำว่า เรื่องนี้ต้องรอดูผลการเลือกตั้งที่สำคัญมากที่สุดคือหลัง 14 พฤษภาคมผมอยากเห็นว่า กลุ่มชนชั้นนำ กลุ่มกองทัพ กลุ่มอะไรต่างๆคุณจะดีลกับผลการเลือกตั้งรอบนี้อย่างไร
- มอง3ปัจจัยโอกาส “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ยาก
ปิยะบุตร ยังประเมินโอกาสในการเกิด "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" ว่า ผมมั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยสองเหตุผล
1. โดยสภาพตั้งไปแล้วก็ล่ม แม้จะบอกว่าตั้งไปก่อนแล้วค่อยไปดูดแต่เชื่อว่าไม่ง่ายเหมือนครั้งที่แล้ว
2. เสียงของพวกฝ่ายค้านเดิมน่าจะสูงแบบขาดลอย
3. ตัวเลขรอบนี้ไม่ได้อยู่ที่ผลโพลแต่จะเห็นได้ชัดว่าไม่ว่าในการลงพื้นที่ จะเป็นพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมากจริงๆ จึงชื่อว่ากลุ่มผู้มีอำนาจเขาาน่าจะยอมให้ไปก่อนแล้วเดี๋ยวว่ากันอีกที
เมื่อถามว่า ความเสี่ยงที่จะยุบพรรคจะมีอะไรอีกหรือไม่ ปิยบุตรมองว่า นี่คือความผิดปกติของการเมืองไทยเมื่อพรรคไหนร้อนแรงก็จะต้องคิดว่าจะโดนยุบพรรค
เชื่อว่ารอบนี้ทางพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลโดนรุมจากนิติสงครามคู่กัน ทั้งในแง่ตัวบุคคลและในแง่ของพรรค ตรงนี้คือความผิดปกติ ถ้าฝ่ายผู้มีอำนาจลองฟังดูตนอยากจะบอกว่าเวลานี้ผ่านไป 20 ปีแล้วเป็นโจทย์ที่คุณมัดไปเรื่อยเรื่อยแล้วคุณยังไม่ยอมแก้โจทย์นี้เสียที
“วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ผลเลือกตั้งจะขาดลอยขนาดนี้คุณยังจะเลือกที่จะเดินเส้นทางเดิมอีกหรือแล้วบ้านเมืองนี้จะอยู่กันอย่างไร”