การเมืองหัวเลี้ยวหัวต่อ ประชาชนต้องอดทน
การเมืองที่กำลังอยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มทำให้คนไทยจำเป็นต้องใช้ความขันติอดทนมากเป็นพิเศษ ถึงเวลาช่วยกันประคับประคองระบบให้เดินหน้าต่อไปได้
การเมืองไทยยังมีให้ลุ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ผ่านโมเมนต์หาพรรคร่วมรัฐบาลลงนาม MOU กันที่ 8 พรรค 312 เสียง เห็นชอบสนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนี้มาโฟกัสที่ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร
พูดกันหนาหูเมื่อก้าวไกล พรรคอันดับหนึ่งได้ตำแหน่งนายกฯ ไปแล้ว เพื่อไทยพรรคอันดับสองที่คะแนนห่างกันแค่ 10 เสียงควรได้ตำแหน่งประธานสภาฯ แต่ในเมื่อตำแหน่งนี้มีความสำคัญต่อเกมผ่านร่างกฎหมายจึงกลายเป็นชนวนร้อนให้กองเชียร์ทั้งสองฝ่ายออกมาตีกันสนั่นโซเชียลได้อีก
จะว่าไปแล้ว “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ก็สำคัญจริงๆ ดูอย่างในสหรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี (ไทยระบบรัฐสภา) ตอนนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับเควิน แมคคาร์ธี ต้องหาทางตกลงกันให้ได้เรื่องการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ตกลงกันได้ต้องนำไปให้ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาลงมติ
แต่ที่ผ่านมา สหรัฐมีเรื่องแบบนี้ให้ลุ้นบ่อยครั้ง ตราบใดที่ยังตกลงกันไม่ได้ย่อมสั่นสะเทือนตลาดหุ้นโลก คราวนี้เดิมพันสูงสหรัฐอาจผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกเป็นประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าถึงที่สุดประเทศชาติต้องมาก่อน
ทางตันเพดานหนี้สหรัฐน่าจะรู้ผลก่อนวันที่ 1 มิ.ย. แต่การเมืองไทยดูไทม์ไลน์ตามรัฐธรรมนูญน่าจะใช้เวลาอีกร่วมสองเดือนครึ่งกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ไม่มีทางเร็วไปกว่านี้
ว่ากันคร่าวๆ เปิดประชุมรัฐสภา 24 ก.ค. วันรุ่งขึ้นเลือกประธานสภาฯ วันที่ 3 ส.ค. เลือกนายกฯ 10 ส.ค. แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี 11 ส.ค. ถวายสัตย์ ถือเป็นการเริ่มต้นการทำงานของรัฐบาลใหม่
ระหว่างนี้ก็น่าหวาดเสียวว่าอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างเดินตามระบบอย่างที่ควรจะเป็น สิ่งที่น่าระวังของการเมืองยุคใหม่คือ ต่างคนต่างมีโซเชียลมีเดีย ใครคิดอะไรสื่อสารถึงแฟนคลับทันทีซึ่งบางครั้งส่งผลเสียหายมากกว่าที่คิด
สองพรรคใหญ่ต่างฝ่ายต่างมีกองเชียร์ในโลกโซเชียล มีประเด็นทีก็แซะกันไปแซะกันมาจนบานปลายกลายเป็นความท้าทายให้ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล ถึงจุดนี้ควรวางมือจากโซเชียลสักพักหันมาสู่โลกแห่งความจริง
ไทยเสียเวลาไปเกือบหนึ่งทศวรรษกับการเมืองที่ถูกฉุดรั้ง ก่อนโควิดยังมองไม่เห็นปัญหาเพราะการท่องเที่ยวไทยไปได้ดีเป็นตัวหนุนเศรษฐกิจ แต่พอเจอโรคระบาดใหญ่อย่างโควิดที่แพร่กระจายไปทั้งโลก เป็นวิกฤติที่ทุกประเทศล้วนไม่เคยเจอมาก่อน รัฐบาลที่เข้มแข็งมีฝีมือเท่านั้นที่นำพาประเทศชาติให้รอดได้
ลองถามตัวเองว่า คนไทยต้องพึ่งพาตัวเองมากแค่ไหนช่วงวิกฤติดังกล่าว
ถึงตอนนี้โควิด-19 ไม่ใช่ภัยคุกคามร้ายแรงอีกต่อไป แต่ประเทศไทยยังคงต้องการรัฐบาลทันโลก ทันยุคสมัย เพราะฉะนั้นการเมืองที่กำลังอยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มทำให้คนไทยจำเป็นต้องใช้ความขันติอดทนมากเป็นพิเศษ ถึงเวลาช่วยกันประคับประคองระบบให้เดินหน้าต่อไปได้
การเมืองในระบอบประชาธิปไตยต้องรับฟังความเห็นต่าง การตั้งรัฐบาลผสมไม่ง่าย สำหรับกองเชียร์อย่าเพิ่งถอดใจมองว่าการเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายกันไปเสียก่อน เพราะยิ่งการเมืองไม่ได้ดั่งใจ ประชาชนยิ่งต้องใส่ใจ เพื่อเป้าหมายปลายทางสำเร็จอย่างที่หวัง