‘พิธา’ สวน ส.ว.ให้รักษาระบบ ยันไม่จริงถ้าเป็นนายกฯประเทศจะลุกเป็นไฟ
‘พิธา’ สวนกลับ ‘ส.ว.กิตติศักดิ์’ ขอให้รักษาระบบ ลั่นไม่เป็นความจริงถ้าเป็นนายกฯ ประเทศจะลุกเป็นไฟ ถึงขั้นไทยฆ่าไทย ชี้เป็นสิทธิหากมีกลุ่มคนจงรักภักดีจะเข้ากรุงฯ ปัดอเมริกาอยู่เบื้องหลัง ‘ก้าวไกล’ แต่เป็นประชาชนคนไทยต่างหาก
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. ประกาศว่าไม่เลือกนายพิธาเป็นนายกฯ 2 ล้านเปอร์เซนต์ เนื่องจากหากได้เป็นนายกฯแล้ว ประเทศจะลุกเป็นไฟ และขณะนี้กระแสจงรักภักดีสถาบันพร้อมมากที่จะเข้ากรุงฯ และจะนำไปสู่การนองเลือดของคนไทยด้วยกันคือไทยฆ่าไทยนั้น
นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง อย่างที่บอก ในอดีตที่ผ่านมา ความขัดแย้งคือเมื่อเราฝืนมติประชาชนแล้วไม่รักษาระบบ แต่ถ้าเรารักษาระบบ เคารพมติของพี่น้องประชาชน และหาทางออกร่วมกัน น่าจะทำให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองและมีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในประเทศในช่วงที่ความท้าทายจากทั่วโลกเยอะขนาดนี้ ดังนั้นขอความกรุณาให้มีการทำงานร่วมกัน ไม่ใช่เพื่อตน แต่เพื่อเป็นการรักษาระบบให้กับประเทศไทย
ส่วนประเด็นที่นายกิตติศักดิ์ ระบุว่า คนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน พร้อมเดินทางเข้า กทม. นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่เคยได้ยินประเด็นนี้ แต่มองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนที่จะเดินทางไปที่ไหนก็ได้ ตนเคารพตรงนี้ ไม่มีปัญหา
เมื่อถามย้ำว่า มี ส.ว. ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบนี้ จะส่งผลกระทบต่อการโหวตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่พูดคุยกับวงเจรจา ทุกอย่างยังเป็นไปด้วยดี และคิดว่าถึงเวลาที่เปิดสภาและมีการโหวตนายกรัฐมนตรีจะไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนกรณีนายกิตติศักดิ์ บอกว่ามีอเมริกาอยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกลนั้น นายพิธา กล่าวว่า อันนี้ไม่เป็นความจริง คนที่อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกลคือประชาชนคนไทย เพียงแต่ว่าในเรื่องของการต่างประเทศจำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างปัญหาประเทศและความโชคร้ายที่เกิดขึ้น โดยยึดหลักผลประโยชน์ของคนไทยและอีกประเทศเป็นที่ตั้ง ถ้าวิน-วิน ด้วยกันทั้งคู่ คงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่คิดถึงเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ หรือไปอิงกับชาติใดชาติหนึ่ง ปัญหาจะตกกับพี่น้องประชาชน ค่าปุ๋ยที่แพง ค่าอาหารสัตว์ที่แพง วัคซีนที่ต้องเข้ามาในประเทศ ทั้งหมดนี้มันต้องวางบริบทของประเทศให้อยู่ในพื้นที่ที่ทำให้เป็นไปตามกฎกติกาของโลกสากล และผลประโยชน์ของชาติและของประชาชนของทั้งสองชาติ