‘ความไม่แน่นอนทางการเมือง’ และโลกของความหลากหลาย
การอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลาย การยอมรับความแตกต่างของบุคคล จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำและอยู่ร่วมกันอย่างมีความเท่าเทียม
การจัดการเลือกตั้ง 14 พ.ค. ที่ผ่านมา นับว่าเกิดปรากฏการณ์หลายอย่าง บ้างว่าเป็นสัญญาณที่ประเทศจะต้องเปลี่ยน โครงสร้างที่บิดเบี้ยวในทุกเรื่องกำลังถูกเขย่า โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นแนวหน้าในการบริหารบ้านเมือง
ท่ามกลางความผันผวนของโลกเศรษฐกิจ ปมปัญหาที่หมักหมมจากการปิดเมือง ปิดประเทศในห้วงวิกฤติโรคระบาด กำลังออกฤทธิ์เดช เป็นโจทย์ใหญ่ให้ทุกประเทศเร่งหาทางออก แก้ปัญหาพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กลับคืนมาเหมือนยุคก่อนโควิด อาจเพราะด้วยกรอบเวลาของการรับรองผลการเลือกตั้งที่ยาวนานเกือบ 2 เดือน ทำให้พรรคการเมืองมีเวลาวิ่งต่อรองจับขั้วตั้งรัฐบาล
ส่วนปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า รวมถึงปัญหาที่รอการคลี่คลายแก้ไข ที่ต้องอาศัยฝีมือรัฐบาลตัวจริงเสียงจริง ต้องรอไปก่อน เพราะเกมการต่อรองหนนี้ มันช่างยาวนาน จนความ “แน่นอน” เริ่มกลายเป็นความ “ไม่แน่นอน” กระทบความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจ การลงทุน
ประชาชนตาดำๆ ก็คาดหวังว่า คนที่พวกเขาเลือกเข้าไปจะได้แสดงฝีมือเดินหน้านโยบายที่เคยหาเสียงไว้สักที
เกมต่อรองทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ยิ่งผลักประเทศกลับสู่วงจรแบบเดิม ท่ามกลางปัญหาในประเทศ ที่ยังรอแก้ไขอีกมากมาย ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ยิ่งปัญหาสังคม เรื่องคอร์รัปชัน ปัญหายาเสพติด หรือปัญหา ‘ส่วย’ ที่ฝังรากลึกมานาน รอการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
เราอย่าปล่อยให้ปัญหาที่กัดกร่อนประเทศแบบนี้ดำรงคงอยู่ ตราบใดที่พวกเรามองเรื่องทุจริตเหล่านี้ เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่คุ้นชิน ประเทศจะก้าวเดินไปได้อย่างไร ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ยิ่งแก้ช้า ยิ่งกัดกร่อนโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไปทุกวัน
รวมถึงปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคม มีความเหลื่อมล้ำมากมายเหลือเกินในสังคมไทย ความเท่าเทียม ความเสมอภาค ควรเป็นเรื่องใหญ่ที่เราให้ความสำคัญในการดำรงอยู่ของสังคมประชาธิปไตย กฎระเบียบ ข้อบังคับที่ล้าหลังไม่ทันโลก คงต้องปรับเปลี่ยนไปตามวาระ และให้เหมาะสม
ต้องยอมรับว่าโลกทุกวันนี้ คือ โลกของความหลากหลาย หลากหลายทางเชื้อชาติ หลากหลายทางอุดมการณ์ความคิด หลากหลายทางเพศ หลากหลายในการใช้ชีวิต
การอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลาย การยอมรับความแตกต่างของบุคคล จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำและอยู่ร่วมกันอย่างมีความเท่าเทียม ได้แต่หวังว่า รัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะขั้วใดกลุ่มใด ยิ่งจัดตั้งได้เร็วมากขึ้นเท่าไหร่
ปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมเหล่านี้ จะถูกหยิบขึ้นมาแก้ไข และทำให้เข้ารูปเข้ารอย หวั่นเพียงแต่ว่า การเมืองไทยที่อยู่ในภาวะไม่แน่นอนแบบนี้ จะยิ่งทำให้ปัญหาซุกอยู่ใต้พรมลึกขึ้น หรือไม่ก็แก้ไขไม่ทันการณ์