'ปกรณ์วุฒิ' สวน ภท.ยัน 'ศักดิ์สยาม' มีหนี้ค้าง หจก.รับเหมาฯ จี้ ป.ป.ช.สอบ
‘ปกรณ์วุฒิ’ แจง 2 ประเด็น สวนกลับภูมิใจไทย ปมรัฐมนตรีซุกหุ้น ยืนยันตามหลักฐานข้อเท็จจริง ‘ศักดิ์สยาม’ มีหนี้สินคงค้างกับ หจก.บุรีเจริญ ในวันรับตำแหน่งรัฐมนตรี ชี้เป็นหน้าที่ ป.ป.ช. เรียกเอกสารเชิงลึก-พิสูจน์ข้อสันนิษฐาน
เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2566 นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงกรณีพรรคภูมิใจไทยโต้แย้งการแถลงข่าวของตนเมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) ที่เปิดหลักฐานใหม่ว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม (ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่) ยังมีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ในวันที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้เปิดเผยในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.
นายปกรณ์วุฒิ โพสต์ภาพพร้อมข้อความชี้แจง แบ่งเป็น 2 ประเด็น ประเด็นที่หนึ่ง ที่พรรคภูมิใจไทยระบุว่า ศักดิ์สยามขาดจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตั้งแต่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 ดังนั้นหนี้จำนวน 38 ล้านบาท ที่ปรากฏในงบการเงินปลายปี 2562 ‘ย่อมหมายถึงหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่’ จากเอกสารที่ หจก.บุรีเจริญ ออกด้วยตัวเอง เพื่อให้ทนายความของศักดิ์สยามนำไปประกอบคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ได้ยอมรับเองว่าศักดิ์สยามเคยกู้ยืมเงินจากห้างฯ 4 ครั้ง ในปี 2558 และ 2559 ปีละ 2 ครั้ง และใช้คืน ในวันที่ ‘22 เมษายน 2562’
"หากชี้แจงด้วยตรรกะที่ว่า ‘เมื่อเปลี่ยนหุ้นส่วนผู้จัดการ หนี้สินในงบการเงินก็ต้องเปลี่ยนชื่อไปด้วย’ ทำไม 1 ปี 2 เดือน หลังจากโอนหุ้นออกไปแล้ว ศักดิ์สยามจึงยังต้องใช้คืนหนี้สินให้กับทางห้างฯ ในเมื่อเอกสารของทางห้างฯ ที่บอกว่าใช้หนี้เมื่อปี 2562 ก็ไม่ต่างกับการยอมรับเองว่า ตัวเลขให้หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมในงบปี 2561 หรือ 10 เดือนหลังโอนหุ้น ซึ่งตรงกับเลขในงบปี 2560 ‘ยังคงเป็นหนี้สินของศักดิ์สยาม’ เพราะหากตัวเลขหนี้สินปลายปี 2561 ไม่ใช่ของศักดิ์สยาม วันที่ 22 เมษายน 2562 ศักดิ์สยามจะนำเงินไปใช้หนี้อะไร เพราะไม่มีตัวเลขใดในงบการเงินที่แสดงว่าห้างฯ เป็นเจ้าหนี้คนอื่นเลย" นายปกรณ์วุฒิ ระบุ
นายปกรณ์วุฒิ ระบุอีกว่า ข้อพิรุธที่ตนตั้งข้อสันนิษฐานแถลงเมื่อวานนี้ ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า ตัวเลขที่กล่าวอ้างว่า ‘ใช้หนี้’ ไปแล้วเมื่อปี 2562 นั้น ‘ไม่ตรงกับตัวเลขในงบการเงินเลย’ มียอดกู้ยืมเพียง 2 ยอดในปี 2559 เท่านั้นที่ปรากฏในงบการเงิน และระบุในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ละเอียดถึงขั้นใส่วันที่ที่กู้ยืม และยอดเงินของทั้ง 2 ครั้ง คือรวม 69 ล้านบาท และปรากฏยอดเดิมบนงบการเงิน จนถึงสิ้นปี 2561 แต่ยอดเงินที่กล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้นั้น กลับเป็นยอดเงิน 108,499,000 บาท ซึ่ง 2 ยอดที่อ้างว่ามีการกู้ยืมเมื่อปี 2558 นั้น ไม่เคยปรากฏตัวเลข หรือมีการกล่าวถึงในหมายเหตุประกอบงบการเงินเลยแม้แต่น้อย
ตนจึงสันนิษฐานว่า ‘หากมีการโอนเงินไปที่ห้างฯ ยอดเงิน 108,499,000 บาท เมื่อ 22 เมษายน 2562 ตามที่กล่าวอ้างจริง เป็นไปได้หรือไม่ ว่าเป็นการทำธุรกรรมอื่น ที่หยิบมาอ้างว่าใช้หนี้ แต่เมื่อยอดไม่ตรง จึงจำเป็นต้องสร้างยอดกู้ยืม ที่ไม่เคยปรากฏในงบการเงินขึ้นมา เพื่อให้ตัวเลขสอดคล้องกัน’
นายปกรณ์วุฒิ ระบุด้วยว่า ประเด็นที่สอง การที่พรรคภูมิใจไทยระบุว่าสิ่งที่ตนพูดนั้น ‘เป็นการยืนยันในข้อเท็จจริงที่ไม่มีอยู่จริงและขัดแย้งต่อพยานหลักฐานที่ปรากฎในสำนวนคดี’ ขอชี้แจงว่าทั้งหมดที่ตนพูด ตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนถึงการแถลงข่าวเมื่อวานนั้น ตั้งอยู่บนเอกสารหลักฐานเท่าที่ตนหาเองได้ ที่เป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น งบการเงินที่ทางห้างฯ ยื่นต่อทางราชการเอง และเอกสารชี้แจงที่ทางห้างฯ เป็นผู้ออกด้วยตัวเอง ในทางกลับกัน ที่ข้อสันนิษฐานทั้งหมดของตนเกิดขึ้นได้ก็เพราะ ‘พยานหลักฐานที่ปรากฎในสำนวนคดี’ ต่างๆ นั้นมี ‘ความขัดแย้งกันเอง’ ปรากฏเด่นชัดอยู่เต็มไปหมดต่างหาก
“ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างที่ผมสันนิษฐานหรือไม่ เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่มีอำนาจเรียกเอกสารเชิงลึกต่างๆ ที่ผมไม่มีอำนาจเรียกดูได้ด้วยตนเอง และดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามข้อสันนิษฐานของผมต่อ” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว